Бесплатно

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ

Текст
0
Отзывы
iOSAndroidWindows Phone
Куда отправить ссылку на приложение?
Не закрывайте это окно, пока не введёте код в мобильном устройстве
ПовторитьСсылка отправлена
Отметить прочитанной
Шрифт:Меньше АаБольше Аа

บทที่ 10

พระราชาแม็คกิลประทับอยู่ในห้องเลี้ยงรับรอง กำลังทอดพระเนตรดูข้าราชบริพารของพระองค์ ทรงประทับอยู่ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ ส่วนราชาแม็คคลาวด์ประทับอยู่อีกด้าน มีผู้คนนับร้อยจากทั้งสองราชวงศ์คั่นอยู่ระหว่างทั้งสองพระองค์ การฉลองอภิเษกดำเนินมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วจนถึงตอนนี้ ในที่สุดความ

ตึงเครียดจากการประลองเมื่อกลางวันเริ่มคลี่คลายลง เป็นเช่นที่ราชาแม็คกิลคาดคิดไว้ พวกผู้ชายต่างต้องการอาหารและเหล้าองุ่น...และสตรี...เพื่อช่วยให้พวกเขาลืมความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขานั่งร่วมโต๊ะกัน เหมือนพี่น้อง ที่จริงเมื่อมองดูตอนนี้พระราชาทรงแยกไม่ออกว่าพวกเขามาจากสองเชื้อสาย

พระราชาทรงพอพระทัย แผนการสำคัญของพระองค์ได้ผล ตอนนี้ทั้งสองตระกูลดูเหมือนจะใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น พระองค์ได้ทรงทำในสิ่งที่กษัตริย์องค์ก่อน ๆ ไม่สามารถทำได้ นั่นคือการรวมทั้งสองฝั่งของวงแหวนเข้าด้วยกัน ทำให้พวกเขา แม้ไม่อาจเป็นเพื่อน แต่อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่กันอย่างสงบสุข ลูอันดา ธิดาองค์โตนั่งคล้องแขนกับสวามี เจ้าชายจากราชวงศ์แม็คคลาวด์ นางดูมีความสุข ซึ่งทำให้ความรู้สึกผิดของพระองค์ลดน้อยลง แม้พระองค์จะส่งนางไปไกล แต่อย่างน้อยก็ทรงมอบความเป็นราชินีให้แก่นาง

พระราชาทรงคิดย้อนไปถึงการวางแผนก่อนที่จะมาเป็นวันนี้ นึกถึงวันที่ทรงโต้เถียงกับเหล่าที่ปรึกษา พระองค์ทรงแย้งคำแนะนำของที่ปรึกษาและจัดการเรื่องนี้ขึ้น มันไม่ใช่สันติภาพที่จะได้มาง่ายดาย ในตอนนี้พวกแม็คคลาวด์คงจะอยู่ในฝั่งของตัวเอง ที่อีกด้านของเขตภูเขา แล้วการอภิเษกในวันนี้ก็คงจะถูกลืมเลือนไป แต่วันหนึ่งพวกนั้นก็คงจะลุกฮือขึ้น พระองค์ไม่ได้ไร้เดียงสา แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้มีการเกี่ยวดองกันระหว่างสายเลือดของสองราชวงศ์ โดยเฉพาะเมื่อมีเด็กเกิดขึ้น คงเป็นเรื่องที่เพิกเฉยไม่ได้ หากเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น และวันหนึ่งได้ปกครอง เด็กที่เกิดจากสายเลือดของสองอาณาจักรในวงแหวน อาจจะมีวันหนึ่งที่วงแหวนได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เขตภูเขาจะไม่ใช่เส้นแบ่งพรมแดนอีกต่อไป แล้วแผ่นดินจะรุ่งเรืองภายใต้การปกครองหนึ่งเดียว นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงฝันไว้ ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง แต่เพื่อลูกหลาน อย่างไรเสีย วงแหวนต้องแข็งแกร่ง ต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องแนวหุบเขา เพื่อต่อสู้กับเผ่าพันธุ์จากโลกด้านหลังหุบเขา ตราบเท่าที่ทั้งสองอาณาจักรยังแบ่งแยกกัน พวกเขาก็อ่อนแอที่จะเผชิญหน้ากับโลกที่เหลือ

“ดื่มอวยพร” ราชาแม็คกิลทรงตะโกนและประทับยืนขึ้น

ทั้งโต๊ะเงียบเสียงลง เมื่อเหล่าชายหลายร้อยคนลุกขึ้นยืน ยกแก้วของตัวเองขึ้น

“แด่การอภิเษกของธิดาองค์โตของข้า! แด่การรวมกันของแม็คกิลและแม็คคลาวด์! แด่สันติภาพในอาณาจักรวงแหวน!”

“ไชโย!” มีเสียงตะโกนขึ้นพร้อมกัน ทุกคนดื่ม แล้วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการฉลองอีกครั้ง

ราชาแม็คกิลประทับนั่ง ทรงมองสำรวจไปทั่วห้อง ทรงมองหาโอรสธิดา แน่นอน ก็อดฟรีย์อยู่ที่นั่น กำลังดื่มด้วยสองมือ มีสตรีขนาบข้าง แวดล้อมด้วยเพื่อนไม่เอาไหนของเขา นี่อาจจะเป็นงานพระราชพิธีงานเดียวที่เขาเต็มใจมา ส่วนกาเร็ธกำลังนั่งอยู่ใกล้ เฟิร์ธ คู่รักของเขามากเกินไป กำลังกระซิบอยู่ข้างหูเขา พระราชาทรงบอกได้จากดวงตาหลุกหลิกของเขาว่าเขากำลังวางแผนบางอย่าง ความคิดเรื่องนี้ทำให้พระองค์รู้สึกปั่นป่วนในพระนาภี จึงทรงมองไปทางอื่น นั่น...ที่อีกด้านของห้อง รีส โอรสองค์เล็ก กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะของเด็กติดตาม พร้อมกับ ธอร์ เด็กที่มาใหม่ ทรงรู้สึกเหมือนธอร์เป็นโอรสอีกคน และทรงยินดีที่ได้เห็นโอรสองค์เล็กเป็นเพื่อนกับเขาอย่างรวดเร็ว

พระราชาทรงมองหาธิดา เจ้าหญิงเกว็นโดลิน และในที่สุดก็พบนางนั่งอยู่ที่ด้านข้าง แวดล้อมด้วยสาวใช้ของนาง กำลังหัวเราะคิกคัก ทรงมองตามสายตาของธิดา และสังเกตว่านางกำลังมองธอร์ พระราชาสำรวจธิดาอยู่นานและรู้ว่านางหลงรักธอร์ ไม่ได้ทรงคาดการณ์เรื่องนี้มาก่อน และไม่ทรงแน่ใจว่าควรทำเช่นไร แต่ทรงรู้สึกได้ถึงปัญหา โดยเฉพาะจากราชินีของพระองค์

“ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น” มีเสียงดังขึ้น

ราชาแม็คกิลหันไปเห็นอาร์กอนนั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังมองสองตระกูลร่วมรับประทานอาหาร

“ท่านเห็นว่าอย่างไร?” ราชาแม็คกิลตรัสถาม “จะมีสันติสุขระหว่างสองอาณาจักรหรือไม่?”

“สันติสุขไม่เคยอยู่นิ่ง” อาร์กอนทูล “มันขึ้นและลงเหมือนกระแสน้ำ สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าพระองค์คือสันติสุขจอมปลอม ทรงเห็นด้านหนึ่งของมัน และพยายามที่จะบังคับให้เกิดสันติสุขบนความขัดแย้งที่มีมานาน มีการนองเลือดมาหลายร้อยปี วิญญาณมากมายร่ำร้องการแก้แค้น และนั่นไม่สามารถจบลงได้ด้วยการแต่งงานเพียงครั้งเดียว”

“ท่านเห็นว่าอย่างไร?” ราชาแม็คกิลตรัสถาม ทรงยกแก้วเหล้าองุ่นขึ้นจิบ รู้สึกกังวลเช่นที่มักจะทรงเป็นเมื่ออยู่ใกล้อาร์กอน

อาร์กอนหันมาจ้องพระเนตรด้วยความเคร่งเครียดจริงจัง จนทำให้ทรงตื่นตะหนก

“จะมีสงคราม พวกแม็คคลาวด์จะโจมตี จงเตรียมพร้อมไว้ แขกทุกคนที่อยู่ตรงหน้าพระองค์ ในไม่ช้าจะกลายเป็นฆาตกรเข่นฆ่าครอบครัวของพระองค์”

ราชาแม็คกิลทรงกลืนน้ำลาย

“ข้าตัดสินใจผิดหรือ ที่ให้นางแต่งงานกับพวกนั้น?”

อาร์กอนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทูลตอบออกมา “ไม่มีความจำเป็น”

อาร์กอนหันไปทางอื่น ซึ่งราชาแม็คกิลรู้ว่าเขาได้จบหัวข้อนี้ลงแล้ว มีอีกล้านคำถามที่พระองค์ต้องการคำตอบ แต่ทรงรู้ว่านักบวชของพระองค์จะไม่ตอบจนกว่าจะพร้อม ดังนั้นพระองค์จึงมองตามสายตาของอาร์กอนไป แล้วจึงพบเกว็นโดลิน และธอร์

“ท่านเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันไหม?” ราชาตรัสถาม ทรงอยากรู้ขึ้นมาทันใด

“อาจจะ” อาร์กอนทูล “ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องตัดสิน”

“ท่านพูดเป็นปริศนา”

อาร์กอนยักไหล่ แล้วมองเมินไป ซึ่งราชาแม็คกิลทรงรู้ว่าเขาจะไม่บอกอะไรเพิ่มอีก

“ท่านเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามประลองวันนี้ไหม?” ราชาแม็คกิลตรัส “กับเด็กหนุ่มคนนั้น?”

“ข้าเห็นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสียอีก” อาร์กอนทูล

“แล้วท่านคิดว่าอย่างไร? เด็กคนนั้นมีพลังอะไร? เขาเป็นเหมือนท่านไหม?”

อาร์กอนหันมาสบพระเนตรอีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นรุนแรงจนแทบจะเบือนหลบ

“เขาทรงพลังกว่าข้ามากมายนัก”

ราชาแม็คกิลจ้องตอบอย่างตื่นตะลึง พระองค์ไม่เคยได้ยินอาร์กอนพูดเช่นนี้

“ทรงพลังกว่า? มากกว่าเจ้าน่ะหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเป็นผู้วิเศษของพระราชา ไม่มีใครทรงพลังไปกว่าเจ้าอีกแล้วในแผ่นดินนี้”

อาร์กอนยักไหล่

“พลังไม่ได้มาในรูปแบบเดียว” เขาทูล “เด็กคนนั้นมีพลังเหนือกว่าที่พระองค์จะจินตนาการได้ พลังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ทรงรู้จัก เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาเป็นใคร หรือว่าเขากำเนิดมาจากไหน”

อาร์กอนหันมาจ้องพระราชา

“แต่พระองค์ทรงรู้” เขาทูลเพิ่ม

ราชาแม็คกิลมองตอบด้วยความสงสัย

“ข้ารู้อย่างนั้นหรือ?” ราชาตรัสถาม “บอกมา ข้าต้องการรู้”

อาร์กอนส่ายหน้า

“ลองสำรวจความรู้สึกของพระองค์ดู มันคือความจริง”

“เขาจะเป็นอย่างไร?” ราชาแม็คกิลตรัสถาม

“เขาจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักรบที่เก่งฉกาจ เขาจะปกครองอาณาจักรด้วยสิทธิ์อันชอบธรรม มีอาณาจักรยิ่งใหญ่กว่าพระองค์มากนัก และเขาจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ นั่นคือชะตาของเขา”

ชั่วแวบหนึ่งราชาแม็คกิลรุ่มร้อนด้วยความริษยา ทรงหันไปมองเด็กหนุ่ม ที่กำลังหัวเราะกับเจ้าชายรีส

อย่างไม่มีพิษมีภัย อยู่ที่โต๊ะของเด็กติดตาม เป็นสามัญชน เป็นคนนอกที่อ่อนแอ เป็นลูกชายคนเล็ก พระราชาไม่ทรงคิดว่าจะเป็นไปได้ เมื่อมองดูเขาในตอนนี้ เขาแทบจะดูไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมในกองทหารยุวชนด้วยซ้ำ ทรงสงสัยอยู่ชั่วครู่ว่าอาร์กอนอาจจะผิด

แต่อาร์กอนไม่เคยผิด และไม่เคยประกาศเช่นนั้นโดยไม่มีเหตุผล

“ทำไมท่านถึงบอกเรื่องนี้กับข้า?” ราชาตรัสถาม

“เพราะนี่เป็นเวลาของพระองค์ที่ต้องเตรียมพร้อม เด็กหนุ่มคนนั้นต้องการการฝึกฝน เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุด นั่นคือความรับผิดชอบของพระองค์”

“ของข้าอย่างนั้นหรือ? แล้วบิดาของเขาล่ะ?”

“บิดาเขาทำไมหรือ?” อาร์กอนทูลถาม

บทที่ 11

ธอร์พยายามลืมตา ยังงุนงง และสงสัยว่าเขาอยู่ที่ไหน เขานอนอยู่บนพื้น อยู่บนกองฟาง หน้าหันตะแคงไปด้านข้าง แขนก่ายอยู่บนศีรษะ เขายกหัวขึ้นแล้วเช็ดน้ำลายจากมุมปาก ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอาการเจ็บร้าวไปทั้งศีรษะ เป็นการปวดหัวที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เขาจำได้ว่าเมื่อคืนก่อน มีงานเลี้ยงของพระราชา มีการดื่มเหล้า เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มเหล้าเอล ทั้งห้องหมุนติ้ว ลำคอเขาแห้งผาก และตอนนี้เองที่เขาสาบานว่าจะไม่ดื่มอีกเป็นอันขาด

ธอร์มองไปรอบ ๆ พยายามหาทิศทางในห้องมืด ๆ นี้ มีคนนอนอยู่เกลื่อนกลาดบนกองฟาง มีเสียงกรนดังระงม เขาหันไปอีกทางและเห็นเจ้าชายรีส อยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต นอนสลบไสลด้วยเหมือนกัน ตอนนั้นเขาถึงนึกออกว่ากำลังอยู่ในค่ายทหาร ค่ายของกองทหารยุวชน รอบ ๆ ตัวเขาคือเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันประมาณห้าสิบคน

ธอร์จำได้ลาง ๆ ว่าเจ้าชายรีสพาเขามาที่นี่เมื่อตอนใกล้สว่าง แล้วลงไปนอนกองอยู่บนกองฟาง แสงอรุณยามเช้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ธอร์เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเป็นคนเดียวที่ตื่น เขามองลงไปเห็นว่าตัวเองนอนหลับไปทั้งชุด เอื้อมมือขึ้นเสยผมมันเยิ้ม เขาอยากจะอาบน้ำเป็นที่สุด แต่ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน และตอนนี้เขาอยากจะได้น้ำสักแก้ว อาหารด้วย ท้องเขาร้องโครกคราก

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา เขาแทบจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป กิจวัตรในค่ายทหารจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็มีความสุข เมื่อคืนนี้ช่างน่าพิศวง เป็นคืนที่ดีที่สุดคืนหนึ่งในชีวิตเขา เขาได้เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าชายรีส และได้เห็นว่าเจ้าหญิงเกว็นโดลินแอบมองเขาครั้งหรือสองครั้ง เขาพยายามจะพูดกับนาง แต่ก็ถอดใจไปทุกครั้ง เขารู้สึกเสียใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ตอนนั้นมีคนอยู่มากเกินไป หากอยู่กับเพียงลำพัง เขาน่าจะมีความกล้า แต่มันจะมีครั้งหน้าหรือ?

ก่อนที่ธอร์จะคิดอะไรต่อไป ประตูไม้ในค่ายทหารถูกกระแทกเปิดออกโครมคราม แล้วพวกเขาก็บุกเข้ามา พร้อมแสงสว่างจ้า

“ลุกขึ้น เด็กติดตาม” มีเสียงตะโกน

ทหารกองรบเงินหลายสิบนายเดินเข้ามา เสียงเสื้อเกราะกระทบกัน เสียงทุบผนังไม้ด้วยคทาเหล็ก มีเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่รอบตัวธอร์ เด็กหนุ่มคนอื่นๆ กระโดดลุกขึ้นยืน

ทหารที่นำกลุ่มมานั้นมีใบหน้าถมึงทึง ที่ธอร์จดจำได้จากในสนามฝึกเมื่อวันก่อน ทหารร่างใหญ่ ศีรษะล้าน กับแผลเป็นบนจมูก คนที่เจ้าชายรีสบอกว่าชื่อ คอล์ค

ดูเหมือนเขาจะบึ้งตึงกับธอร์โดยเฉพาะ ขณะที่ยกนิ้วชี้มาที่เขา

“เจ้าคนนั้น!” ข้าตะโกน “ข้าบอกให้ยืนขึ้น!”

ธอร์สับสน เพราะเขายืนอยู่แล้ว

“แต่ข้ายืนอยู่แล้ว ใต้เท้า” ธอร์บอก

คอล์คก้าวมาข้างหน้า ใช้หลังมือตบหน้าธอร์ เด็กหนุ่มเจ็บแปลบกับความเดือดดาลนั้น ขณะที่สายตาทุกคู่จ้องมาที่เขา

“อย่าพูดกับผู้บังคับบัญชาของเจ้าอีกเด็ดขาด!” คอล์คตำหนิ

ก่อนที่ธอร์จะตอบโต้อะไรอีก พวกทหารก็เดินไปทั่วห้อง ดึงเด็กหนุ่มคนอื่น ๆ ให้ยืนขึ้น เตะบางคนที่ลุกช้าเข้าที่ซี่โครง

“ไม่ต้องห่วง” มีเสียงให้ความมั่นใจดังขึ้น

เขาหันไปเห็นเจ้าชายรีส ประทับยืนอยู่

“มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรอก เป็นวิธีของพวกเขาเท่านั้น วิธีที่พวกเขาจะจัดการเราให้ราบคาบ”

“แต่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรท่าน” ธอร์ทูล

“แน่นอน พวกเขาไม่แตะต้องข้า เพราะพระบิดา แต่พวกเขาก็จะไม่สุภาพนักหรอก พวกเขาอยากให้เราเข้ารูปเข้ารอยเท่านั้นเอง พวกเขาคิดว่านี่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องไปสนใจนักหรอก”

 

บรรดาเด็กหนุ่มเดินแถวออกจากค่าย โดยมีธอร์และเจ้าชายรีสตามมาด้วย ขณะที่พวกเขาก้าวออกมาด้านนอก แสงจ้าของดวงอาทิตย์สาดเข้าใส่ธอร์ จนเขาต้องหรี่ตาแล้วยกมือขึ้นป้องไว้ ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา เขาหันไปโก่งคออาเจียน

เขาได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเด็กหนุ่มรอบตัว ทหารยามผลักเขา ธอร์ถลำไปข้างหน้า เดินกลับเข้าแถวรวมกับคนอื่น พลางเช็ดปาก เขาไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้

เจ้าชายรีสยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง

“หนักสินะเมื่อคืน?” ทรงตรัสถาม พลางแย้มสรวลกว้าง ถองเข้าที่ซี่โครงของธอร์ “ข้าบอกแล้วให้เจ้าหยุดหลังจากแก้วที่สอง”

ธอร์รู้สึกคลื่นเหียนเมื่อโดนแสงส่องตา มันไม่เคยสว่างจ้าขนาดนี้เลย อากาศเริ่มร้อนแล้ว เขารู้สึกถึงหยดเหงื่อภายใต้เสื้อหนังของเขา

ธอร์พยายามคิดถึงคำเตือนของเจ้าชายรีสเมื่อคืน แต่จำไม่ได้เลย

“ข้าจำไม่ได้ว่ามีคำแนะนำแบบนั้นด้วย” ธอร์ทูลกลับ

เจ้าชายรีสแย้มสรวลกว้างขึ้น “ถูกแล้ว นั่นเพราะเจ้าไม่ได้ฟังเลย” ทรงหัวเราะ “มัวแต่งุ่มง่ามพยายามจะคุยกับพี่สาวข้า” เจ้าชายตรัสต่อ “น่าสมเพชจริง ๆ ข้าไม่คิดว่าเคยเห็นใครกลัวสตรีเหมือนเจ้ามาก่อน”

ธอร์หน้าแดงขณะพยายามนึก แต่เขาก็นึกไม่ออก มันพร่ามัวไปหมด

“ข้าไม่มีเจตนาจะลบหลู่” ธอร์ทูล “เรื่องพี่สาวของพระองค์”

“เจ้าลบหลู่ข้าไม่ได้หรอก ถ้านางเลือกเจ้า ข้าคงจะยินดี”

ทั้งสองเดินเร็วขึ้น เมื่อทั้งกลุ่มไปถึงเนินเขา ดวงอาทิตย์ดูจะร้อนแรงขึ้นทุกย่างก้าว

“แต่ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ก่อน ทุกคนในเมืองนี้ต่างก็ไขว่คว้าหานาง โอกาสที่นางจะเลือกเจ้า....เอ่อ เอาเป็นว่าอยู่ไกลมาก ๆ”

ขณะที่เดินเร็วขึ้นข้ามเนินเขียวขจีในเขตปราสาท ธอร์รู้สึกมั่นใจว่าเขาได้รับการยอมรับจากเจ้าชายรีส มันช่างน่าอัศจรรย์ เขายังรู้สึกว่าเจ้าชายเป็นเหมือนพี่น้องกับเขามากกว่าที่เขาเคยมีเสียอีก ระหว่างที่เดินไป ธอร์เห็นพี่ชายแท้ ๆ ทั้งสามคนของเขาเดินเข้ามาใกล้ คนหนึ่งหันมาทำหน้าถมึงทึงใส่เขา แล้วสะกิดพี่ชายอีกคนที่มองมาที่ธอร์พร้อมรอยยิ้มหยัน พวกเขาส่ายหน้าแล้วเมินไป ไม่มีคำพูดดี ๆ สักคำให้ธอร์ แต่เขาก็ไม่เคยคาดหวังอยู่แล้ว

“เข้าแถว ทหาร! เดี๋ยวนี้!”

ธอร์เงยหน้ามองเห็นทหารกองรบเงินหลายนายล้อมรอบพวกเขา ผลักเด็กหนุ่มห้าสิบคนให้เดินเป็นสองแถว ทหารนายหนึ่งเดินมาด้านหลังแล้วฟาดหัวเด็กหนุ่มตรงหน้าธอร์ด้วยไม้ไผ่ท่อนใหญ่ เด็กหนุ่มคนนั้นร้องออกมา เบียดชิดแถวมากขึ้น ในไม่ช้าพวกเขาก็เดินเป็นระเบียบในสองแถว เดินเป็นแถวสม่ำเสมอไปตามสนาม

“เวลาที่พวกเจ้าเดินในสนามรบ พวกเจ้าต้องเดินเป็นหนึ่งเดียวกัน!” คอล์คตะโกนบอก เดินไปเดินมาด้านข้าง “ที่นี่ไม่ใช่สนามบ้านของแม่เจ้า พวกเจ้ากำลังเดินไปสู่สงคราม!”

ธอร์เดินและเดินไปข้างเจ้าชายรีส เหงื่อไหลเพราะความร้อน นึกสงสัยว่ากำลังถูกพาไปที่ไหน ท้องไส้เขายังปั่นป่วนเพราะเหล้าเอล ธอร์สงสัยว่าเมื่อไรเขาจึงจะได้กินอาหารเช้า หรือได้ดื่มน้ำ เขาก่นด่าตัวเองอีกครั้งที่ดื่มเหล้าเข้าไปเมื่อคืนก่อน

ขณะที่เดินขึ้นลงไปตามเนิน ผ่านประตูหินโค้ง ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงสนามกว้าง พวกเขาผ่านประตูหินโค้งอีกแห่งแล้วเข้าไปในอัฒจรรย์ ที่เป็นสนามฝึกของกองทหารยุวชน

ตรงหน้าพวกเขาคือเป้าหลายแบบ ทั้งเป้าสำหรับขว้างหอก ยิงธนู และหนังสติ๊ก รวมทั้งกองฟางสำหรับฝึกดาบ ธอร์ใจเต้นเร็วเมื่อได้เห็น เขาอยากเข้าไปที่นั่น อยากใช้อาวุธและฝึกฝน

แต่เมื่อธอร์เดินไปถึงบริเวณฝึกซ้อม จู่ ๆ ก็มีศอกกระทุ้งเข้าที่ซี่โครงของเขาจากด้านหลัง เป็นกลุ่มเด็กหนุ่มหกคน ซึ่งส่วนใหญ่ยังอายุน้อยเหมือนธอร์ พวกเขาถูกต้อนแยกออกจากแถว ธอร์พบว่าถูกแยกจากเจ้าชายรีส แล้วพาไปที่อีกด้านของสนาม

“คิดว่าพวกเจ้าจะได้ฝึกหรือ?” คอล์คถามอย่างล้อเลียน ขณะที่พวกเขาเดินแยกจากคนอื่น เดินห่างเป้าพวกนั้นออกมา “ม้าเป็นของพวกเจ้าในวันนี้”

ธอร์เงยหน้าและเห็นที่ ๆ เขากำลังมุ่งหน้าไป ที่อีกฟากของสนามมีม้าหลายตัวเหยาะย่างอยู่ คอล์ค

มองลงมาที่เขาแล้วยิ้มชั่วร้าย

“ระหว่างที่คนอื่น ๆ ขว้างหอกและฟันดาบ วันนี้พวกเจ้าจะได้ดูแลม้าและเก็บกวาดขี้ม้า คนเราต้องเริ่มต้นจากที่ไหนสักแห่ง ขอต้อนรับสู่กองทหารยุวชน”

ธอร์ห่อเหี่ยว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย

“เจ้าคิดว่าเจ้าพิเศษใช่ไหมเจ้าหนู?” คอล์คถาม เดินอยู่ข้างเขา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ธอร์รู้ว่าเขาพยายามจะกำราบธอร์ “แค่เพราะพระราชากับโอรสชอบเจ้า ไม่ได้มีความหมายอะไรกับข้า ตอนนี้เจ้าอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของข้า เจ้าเข้าใจไหม? ข้าไม่สนใจว่าเจ้าใช้เล่ห์กลอะไรที่สนามประลอง เจ้าก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เข้าใจที่ข้าบอกไหม?”

ธอร์กลืนน้ำลาย เขาต้องเจอการฝึกที่หนักหนาและยาวนานแน่

แล้วเรื่องก็แย่ลงอีก ทันทีที่คอล์คถอยห่างไปทรมานเด็กคนอื่น เด็กหนุ่มที่อยู่หน้าธอร์ ตัวอ้วนเตี้ยมีจมูกแบน หันมายิ้มเยาะเขา

“เจ้าไม่เหมาะกับที่นี่” เขาบอก “เจ้าใช้วิธีโกงเข้ามา เจ้าไม่ได้ถูกเลือก เจ้าไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่เลย ไม่มีใครชอบเจ้าหรอก”

เด็กคนที่อยู่ข้างเขาก็หันมายิ้มเยาะธอร์เช่นกัน

“เราจะทำทุกอย่างให้เจ้ากระเด็นออกไป” เขาบอก “การเข้ามาน่ะมันง่ายรองจากการได้อยู่ต่อ “

ธอร์ขยาดความเกลียดชังของพวกเขา เด็กหนุ่มไม่อยากเชื่อว่าได้สร้างศัตรูเสียแล้ว และไม่เข้าใจว่าเขาได้ทำอะไรลงไป เขาเพียงแต่ต้องการเข้าร่วมกองทหารยุวชนเท่านั้น

“ทำไมเจ้าไม่สนใจแต่เรื่องของตัวเองล่ะ” มีเสียงดังขึ้น

ธอร์มองไป เห็นเด็กหนุ่มผมแดงร่างสูงผอม มีกระบนใบหน้าและดวงตาสีเขียว ลุกขึ้นมาช่วยเขา “เจ้าสองคนก็ติดแหงกอยู่ที่นี่ ต้องกวาดขี้ม้าเหมือนกับคนอื่น” เขาบอก พวกเจ้าก็ไม่ได้พิเศษเหมือนกันน่ะแหละ ไปแกล้งคนอื่นเถอะ”

“เจ้าก็สนใจเรื่องตัวเองเถอะ เจ้าขี้ข้า” เด็กคนหนึ่งโต้กลับมา “ไม่อย่างนั้นเราจะจัดการเจ้าด้วย”

“ก็ลองสิ” เด็กหนุ่มผมแดงตะคอก

“พวกเจ้าจะได้พูด ถ้าข้าบอกให้พูด” คอล์คตะโกนใส่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง แล้วตบศีรษะเขาอย่างแรง ต้องขอบคุณที่ทำให้เด็กหนุ่มสองคนหน้าธอร์หันกลับไป

ธอร์ไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาเดินไปข้างหนุ่มผมแดง รู้สึกขอบคุณเขา

“ขอบใจนะ” ธอร์บอก

เด็กหนุ่มผมแดงหันมายิ้มให้

“ข้าชื่อโอคอนเนอร์ ข้าอยากจะจับมือกับเจ้านะ แต่คงจะโดนพวกนั้นฟาดเอาถ้าทำ ถือว่าเราจับมือกันแบบล่องหนแล้วกัน”

เขายิ้มกว้างขึ้น และธอร์รู้สึกชอบเขาขึ้นมาทันที

“อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย” เขาบอก “พวกเขาก็แค่กลัว เหมือนคนอื่น ๆ น่ะแหละ ไม่มีใครรู้ว่าสมัครเข้ามาเจออะไร”

ในไม่ช้ากลุ่มของพวกเขาก็มาถึงปลายสนาม ธอร์นับม้าได้หกตัวที่กำลังเหยาะย่างไปมา

“จับบังเหียนไว้!” คอล์คสั่ง “ยึดไว้ให้มั่น แล้วจูงพวกมันเดินรอบสนาม จนกว่ามันจะเหนื่อย ปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”

ธอร์ก้าวไปข้างหน้าคว้าสายบังเหียนของม้าตัวหนึ่ง ขณะที่เขาทำเช่นนั้น ม้าถอยหลังแล้วเผ่นโผนยกขาหน้าขึ้น เกือบจะเตะโดนธอร์ เขาตกใจ ผงะถอยหลัง คนอื่น ๆ พากันหัวเราะ คอล์คตบเขาแรงที่ด้านหลังศีรษะ เขารู้สึกอยากจะหันไปตอบโต้

“ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของกองทหารยุวชน เจ้าจะไม่ถอยหนีใคร ไม่ว่าคนหรือสัตว์ จับสายบังเหียนไว้!”

ธอร์ทำตัวให้เข้มแข็ง ก้าวไปข้างหน้า คว้าสายบังเหียนจากม้าที่กำลังเผ่นโผน เขายึดสายไว้แน่นขณะที่ม้ากระชากและดึง แล้วเริ่มนำมันเดินไปรอบสนามดินกว้าง เรียงแถวไปพร้อมคนอื่น ๆ ม้าของเขาฝืนและขืนตัว แต่ธอร์ก็ดึงกลับ ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

“มันจะดีขึ้น ข้าได้ยินมา”

ธอร์หันไปเห็นโอคอนเนอร์ขึ้นมาเดินข้าง ๆ ยิ้มให้ “พวกเขาต้องการกำราบพวกเรา เจ้ารู้ไหม?”

จู่ ๆ ม้าของธอร์ก็หยุดเดิน ไม่ว่าจะดึงเท่าไร มันก็ไม่ยอมขยับ แล้วธอร์ก็ได้กลิ่นเหม็นบางอย่าง มันถ่ายออกมามากกว่าที่เขาคิดว่าจะเป็นไปได้ และดูเหมือนจะยังไม่เสร็จ

ธอร์รู้สึกว่าพลั่วเล็ก ๆ ถูกยัดใส่มือ เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นคอล์คยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ้มให้

“เก็บกวาดเสีย!” เขาตะคอก

บทที่ 12

เจ้าชายกาเร็ธประทับอยู่ในตลาดที่เบียดเสียด ทรงฉลองพระองค์คลุมตัวยาวทั้งที่เป็นเวลาเที่ยงวัน พระเสโทไหลอยู่ภายใต้เสื้อคลุม ทรงพยายามทำตัวกลมกลืน ปกติแล้วจะทรงพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณนี้ของปราสาท และตรอกซอกซอยแออัดพวกนี้ ซึ่งคลุ้งไปด้วยกลิ่นคนธรรมดาสามัญ รอบ ๆ คือผู้คนที่กำลังต่อรองราคา ทำการค้า และพยายามเอาเปรียบกัน เจ้าชายประทับอยู่ที่แผงตรงหัวมุม แสร้งทำเป็นสนใจผลไม้ ทรงก้มเศียรลงต่ำ เฟิร์ธยืนห่างออกไปไม่กี่ฟุต อยู่ที่ท้ายซอยมืด ๆ กำลังทำสิ่งที่พวกเขาต้องมาทำที่นี่

เจ้าชายกาเร็ธประทับอยู่ในระยะที่ได้ยินการสนทนา หันหลังให้เพื่อที่จะได้ไม่ถูกสังเกตเห็น เฟิร์ธเล่าให้พระองค์ฟังเกี่ยวกับทหารรับจ้างคนหนึ่ง คนที่จะขายยาพิษให้ เจ้าชายทรงต้องการยาที่มีฤทธิ์แรง ยาที่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีโอกาสให้เสี่ยง เพราะชีวิตของพระองค์แขวนอยู่บนเส้นด้าย

ของพวกนี้หาไม่ได้จากร้านปรุงยาทั่วไป พระองค์จึงส่งเฟิร์ธมาทำงานนี้ เขากลับมารายงานหลังจากที่ลองมาที่ตลาดมืดแห่งนี้ หลังจากที่สอบถามมาหลายคน เฟิร์ธจึงได้มาพบกับชายสกปรกคนนี้ คนที่เขากำลังเจรจาลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยอยู่ที่ท้ายตรอก เจ้าชายกาเร็ธยืนกรานที่จะเสด็จมาด้วยในการส่งมอบครั้งสุดท้าย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นดี และเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ถูกหลอกให้ยาปลอมมา นอกจากนี้พระองค์ยังไม่มั่นใจในความสามารถของเฟิร์ธ บางเรื่องก็ต้องทรงจัดการด้วยพระองค์เอง

ทั้งสองรอชายคนนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้ว เจ้าชายทรงเบียดเสียดอยู่ในตลาดที่วุ่นวาย ภาวนาไม่ให้มีคนจำได้ แต่ถึงจะถูกจำได้ พระองค์ทรงคิดว่า ตราบเท่าที่ทรงหันหลังให้ตรอกนั้น หากมีใครจำได้ พระองค์ก็เพียงแค่เดินจากไป ไม่มีใครคิดปะติดปะต่อได้

“ขวดยาอยู่ที่ไหน?” เฟิร์ธถามชายร่างแคระ เขาอยู่ห่างไปไม่กี่ฟุต

เจ้าชายกาเร็ธเหลียวไปนิดเดียว ระวังไม่ให้เห็นพระพักตร์ แล้วแอบมองจากขอบเสื้อคลุม ชายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเฟิร์ธ มีลักษณะชั่วร้าย สกปรก รูปร่างผอมแห้ง มีแก้มตอบและดวงตาโตสีดำ มองดูคล้ายหนู ชายคนนั้นจ้องมองเฟิร์ธตาไม่กระพริบ

“แล้วไหนล่ะเงิน?” เขาตอบ

เจ้าชายหวังว่าเฟิร์ธจะจัดการได้เรียบร้อย เขามักจะทำเสียเรื่องอยู่บ่อย ๆ

“ข้าจะให้เงิน ก็ต่อเมื่อเจ้าให้ขวดยาแก่ข้า” เฟิร์ธยืนกราน

ดีมาก เจ้าชายกาเร็ธทรงคิด รู้สึกประทับใจ

จากนั้นเกิดความเงียบอย่างน่าอึดอัดขึ้นครู่หนึ่ง

“จ่ายมาครึ่งหนึ่งก่อน แล้วข้าจะบอกว่ายาอยู่ที่ไหน”

“มันอยู่ที่ไหนล่ะ?” เฟิร์ธเสียงดังขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าข้าจะได้มัน”

“ถูกแล้ว ข้าบอกว่าท่านจะได้มัน แต่ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะนำมันมาด้วย ท่านคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ? สายลับมีอยู่ทุกที่ ข้าไม่รู้ว่าท่านมีเจตนาอะไร แต่รู้ว่ามันต้องไม่ธรรมดา นอกจากนั้นทำไมถึงต้องอยากซื้อยาพิษด้วย?”

เฟิร์ธเงียบ เจ้าชายรู้ว่าเขาไม่ได้ระวังตัว

ในที่สุด เจ้าชายกาเร็ธก็ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน ทรงแอบมองและเห็นเหรียญทองหล่นจากถุงเงินของเฟิร์ธลงไปบนฝ่ามือของชายคนนั้น

เจ้าชายทรงรอ เป็นวินาทีที่แสนนาน ทำให้ทรงกังวลมากยิ่งขึ้น

“ท่านไปที่ป่าแบล็ควู้ด” ชายคนนั้นตอบในที่สุด “เมื่อไปได้สามไมล์ ให้เลี้ยวไปตามทางแยกที่ขึ้นไปบนเนิน เมื่อถึงยอดเนินให้เลี้ยวอีกครั้ง คราวนี้ไปทางซ้าย ท่านจะผ่านเข้าไปในป่าที่มืดที่สุดที่เคยเจอ แล้วจะพบที่โล่งเล็ก ๆ มีกระท่อมแม่มดอยู่นั่น นางคอยท่านอยู่ พร้อมกับขวดยาที่ท่านต้องการ”

เจ้าชายทรงแอบมองจากผ้าคลุม เห็นเฟิร์ธกำลังจะจากมา แต่ชายคนนั้นเอื้อมมือมาคว้าเสื้อเขาไว้แน่น

“เงินล่ะ” เขาคำราม “นี่มันไม่พอ”

เจ้าชายทรงเห็นความกลัวบนใบหน้าเฟิร์ธ และเสียใจที่ส่งเขามาทำงานนี้ ชายสกปรกคงรู้ว่าเขากลัว และกำลังพยายามเอาเปรียบ เฟิร์ธไม่อาจตัดบทจบเรื่องนี้ได้

“แต่ข้าให้เงินเจ้าตามจำนวนที่เจ้าเรียกแล้วนี่” เฟิร์ธค้าน ขึ้นเสียงสูง คล้ายเสียงผู้หญิง และดูเหมือนจะทำให้ชายคนนี้ได้ใจ

มันยิ้มให้อย่างน่ากลัว

“แต่ตอนนี้ข้าอยากได้เพิ่ม”

เฟิร์ธเบิกตากว้างด้วยความกลัวและไม่แน่ใจ ทันใดนั้นเขาก็หันมาทางที่เจ้าชายยืนอยู่

เจ้าชายกาเร็ธทรงหันหลบ หวังว่าจะไม่สายเกินไป หวังว่าจะไม่ถูกสังเกตเห็น ทำไมเฟิร์ธถึงโง่อย่างนี้? ทรงภาวนาว่าเขาไม่ได้เปิดเผยตัวตนของพระองค์

เจ้าชายทรงรอคอยด้วยพระหทัยเต้นรัว ทรงหยิบผลไม้อย่างกังวล แสร้งทำเป็นสนใจ เกิดความเงียบที่ยาวนานด้านหลังพระองค์ ขณะที่ทรงคิดว่าเรื่องทั้งหมดอาจจะผิดพลาด

ได้โปรด อย่าให้เขามาทางนี้ เจ้าชายภาวนากับตัวเอง ได้โปรด ข้าจะทำทุกอย่าง ข้าจะล้มเลิกแผนการ

มีฝ่ามือหยาบกร้านตบลงที่หลังของเจ้าชาย ทรงหันไปมอง

ดวงตาดำโตของชายร่างเตี้ยจ้องมองมา

“เจ้าไม่ได้บอกข้า ว่าเจ้ามีคู่หู” เขาตะคอก “หรือว่าเจ้าเป็นสายลับ?”

ชายคนนั้นยื่นมือออกมา ก่อนที่เจ้าชายจะทันทำสิ่งใด เขาก็กระตุกผ้าคลุมพระเศียรลง ได้เห็นพระพักตร์เต็มตา ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ

“เจ้าชาย” เขาพึมพำออกมา “ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

วินาทีต่อมา เขาหรี่ตาอย่างนึกออก แล้วเขาก็ได้คำตอบให้ตัวเอง ยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างพอใจ เขาเข้าใจแผนการนี้อย่างทะลุปรุโปร่งในทันที ชายคนนี้ฉลาดกว่าที่เจ้าชายกาเร็ธหวังไว้มาก

“ข้าเข้าใจล่ะ” ชายคนนี้บอก “ยาพิษนั่น สำหรับท่านใช่ไหม? ท่านต้องการจะวางยาใครบางคนใช่หรือไม่? แต่ใครกันล่ะ? ใช่แล้ว นั่นคือคำถาม...”

เจ้าชายหน้าแดงด้วยความกังวล ชายคนนี้หัวไวเกินไป มันสายไปเสียแล้ว โลกของพระองค์ทะลายลงรอบตัว เฟิร์ธทำให้เสียเรื่อง หากชายคนนี้นำเรื่องไปเปิดเผย เขาจะต้องถูกประหารชีวิต

“หรืออาจจะเป็นพระบิดาของพระองค์?” เขาถาม ตาเป็นประกายอย่างนึกออก “ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ใช่หรือไม่? พระองค์ถูกข้ามไป พระบิดา พระองค์ต้องการสังหารพระบิดา”

เจ้าชายกาเร็ธทรงฟังพอแล้ว พระองค์ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ชักมีดสั้นออกมาจากภายใต้เสื้อคลุม แล้วจ้วงแทงเข้าที่อกของชายคนนั้น เขาอ้าปากค้าง

เจ้าชายไม่ต้องการให้คนที่ผ่านไปมาเห็นเหตุการณ์ จึงทรงคว้าเสื้อคลุมของมันไว้แล้วดึงเข้ามาใกล้ ใกล้มากจนใบหน้าแทบจะสัมผัสกัน ใกล้จนทรงได้กลิ่นลมหายใจเหม็นเน่าของมัน ทรงใช้หัตถ์ข้างที่ว่าง ปิดปากมันไว้ก่อนที่จะส่งเสียงออกมา เจ้าชายรู้สึกว่าเลือดอุ่น ๆ ของมัน ไหลผ่านพระหัตถ์ไปตามปลายนิ้ว

เฟิร์ธเดินมาข้าง ๆ แล้วร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

เจ้าชายจับชายคนนั้นไว้นานถึงนาทีเต็ม ๆ จนในที่สุดทรงรู้สึกว่ามันอ่อนพับอยู่ในอ้อมแขน จึงปล่อยให้มันล้มลงไปกองปวกเปียกอยู่บนพื้น

 

เจ้าชายกาเร็ธทรงหันไปดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ โชคดีไม่มีใครในตลาดที่วุ่นวายนี้หันหน้ามาทางตรอก

มืด ๆ แห่งนี้ ทรงถอดเสื้อคลุมยาวโยนลงไปคลุมร่างที่ไร้ชีวิต

“ข้าขอโทษจริง ๆ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” เฟิร์ธพร่ำบอก เหมือนเด็กสาว ร้องไห้ฟูมฟายตัวสั่นเทา เมื่อเข้ามาใกล้เจ้าชาย “ท่านเป็นอะไรไหม? เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เจ้าชายใช้หลังมือตบหน้าเขา

“หุบปาก แล้วรีบไปจากที่นี่” ทรงตะคอก

เฟิร์ธหันหลังและรีบจากไป

เจ้าชายกาเร็ธเตรียมที่จะผละจากไป แต่แล้วก็ทรงหยุด หันกลับไปอีกครั้ง มีเรื่องที่ต้องทรงทำอีกอย่าง ทรงคว้าถุงเงินของคนตาย ยัดเข้าในแถบคาดเอว

ชายคนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว

Купите 3 книги одновременно и выберите четвёртую в подарок!

Чтобы воспользоваться акцией, добавьте нужные книги в корзину. Сделать это можно на странице каждой книги, либо в общем списке:

  1. Нажмите на многоточие
    рядом с книгой
  2. Выберите пункт
    «Добавить в корзину»