Бесплатно

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ

Текст
0
Отзывы
iOSAndroidWindows Phone
Куда отправить ссылку на приложение?
Не закрывайте это окно, пока не введёте код в мобильном устройстве
ПовторитьСсылка отправлена
Отметить прочитанной
Шрифт:Меньше АаБольше Аа

อีเร็คยักไหล่

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเจ้าไปถึงแดนเถื่อน ไม่แน่ แต่ก็เป็นไปได้”

อีเร็คมองลงมาที่ธอร์

“เจ้าอยากเป็นเด็กติดตามที่ยอดเยี่ยม และวันหนึ่งได้เป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่ไหม?” เขาถาม มองตรงมาที่ธอร์

ธอร์ใจเต้นเร็ว

“แน่นอน ใต้เท้า ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”

“ถ้าเช่นนั้นมีหลายสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้” อีเร็คบอก “แค่พละกำลังยังไม่เพียงพอ ความคล่องแคล่วก็ยังไม่พอ การเป็นนักรบที่เก่งกาจก็ยังไม่พอ ยังมีสิ่งอื่นอีก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าปัจจัยพวกนั้น”

อีเร็คเงียบลงอีก และธอร์ทนรอไม่ไหว

“มันคืออะไร?” ธอร์ถาม “อะไรที่สำคัญที่สุด?”

“เจ้าต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง” อีเร็คตอบ “อย่ากลัว เจ้าต้องเข้าไปในป่าที่มืดที่สุด สนามรบที่อันตรายที่สุด ด้วยใจที่มั่นคงที่สุด เจ้าต้องนำใจที่มั่นคงนี้ไปด้วยเสมอ ไม่ว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ อย่ากลัว เตรียมพร้อมอยู่เสมอ อย่าพัก ต้องหมั่นเพียรเสมอ เจ้าจะต้องไม่คิดฝันสวยหรูให้คนอื่นคอยปกป้อง เจ้าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ตอนนี้เจ้าเป็นทหารของพระราชา คุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักรบคือความกล้าหาญและจิตใจที่มั่นคง จงอย่ากลัวอันตราย จงคาดหวังมัน แต่อย่าค้นหามัน”

“วงแหวนที่เราอาศัยอยู่นี้” อีเร็คกล่าวต่อ “อาณาจักรของเรา มันดูเหมือนว่าเราและทหารทุกคนปกป้องอาณาจักรนี้ไว้จากเผ่าพันธุ์ภายนอก แต่ไม่ใช่ เราถูกปกป้องต่างหาก ด้วยหุบเขาและเวทมนตร์ภายในนั้น เราอยู่ภายในวงแหวนของผู้วิเศษ อย่าลืมเรื่องนี้ เรามีชีวิตอยู่และตายด้วยเวทมนตร์ ไม่มีความปลอดภัยที่นี่ เจ้าหนู ไม่ว่าที่ด้านใดของหุบเขา หากไม่มีเวทมนตร์และพลังพิเศษ เราก็ไม่เหลืออะไร”

พวกเขาเดินไปเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ขณะที่ธอร์คิดทบทวนคำพูดของอีเร็คอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้สึกเหมือนอีเร็คได้บอกข้อความลับแก่เขา เหมือนกับเขากำลังบอกว่า ไม่ว่าพลังอะไรที่ธอร์มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น

เวทมนตร์ใดที่เขามีอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องละอาย แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ควรภูมิใจ เป็นขุมแห่งพลังในอาณาจักร ธอร์รู้สึกดีขึ้น เขาเคยคิดว่าถูกส่งไปยังหุบเขาเพื่อเป็นการลงโทษที่ใช้เวทมนตร์ และรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าพลังของเขา ไม่ว่ามันจะคืออะไร มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ

ขณะที่คนอื่น ๆ เดินล่วงหน้าไปก่อน เหลือธอร์และอีเร็ครั้งท้าย อีเร็คมองลงมาที่เขา

“เจ้าได้สร้างศัตรูตัวฉกาจไว้หลายคนที่ปราสาท” เขาบอก พลางยิ้มขบขัน “ดูเหมือนจะมีศัตรูมากเท่ากับที่เจ้าได้เพื่อน”

ธอร์หน้าแดงอย่างละอาย

“ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร ใต้เท้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

“ศัตรูไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจ แต่มันเกิดจากความริษยา ซึ่งเจ้าได้ทำให้เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องไม่ดีเสียทีเดียว เจ้ากลายเป็นจุดสนใจในการพิจารณา”

ธอร์เกาศีรษะ พยายามที่จะเข้าใจ

“แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไม”

อีเร็คยังดูขบขัน

“แม้แต่ราชินีเองก็เป็นปฏิปักษ์สำคัญของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าไปทำให้ทรงไม่พอพระทัยอย่างไร”

“พระมารดาของข้าน่ะหรือ?” เจ้าชายรีสตรัสถาม ขณะที่หันมา “ทำไมกัน?”

“นั่นเป็นคำถามที่ข้าเองก็สงสัย” อีเร็คตอบ

ธอร์รู้สึกไม่ดี ราชินีหรือ? เป็นศัตรู? เขาไปทำอะไรให้พระนาง? เขาคิดไม่ออก เขาจะสำคัญขนาดที่

พระนางทรงสนพระทัยได้อย่างไร? ธอร์แทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

จู่ ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้

“พระนางเป็นต้นเหตุที่ข้าถูกส่งมาที่นี่หรือเปล่า? มาที่หุบเขานี่?” เขาถาม

อีเร็คหันมาแล้วมองไปข้างหน้า ใบหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้น

“พระนางอาจจะมีส่วน” เขาตอบพลางครุ่นคิด “อาจจะทรงเกี่ยวข้อง”

ธอร์สงสัยว่าเขาได้สร้างศัตรูไว้เพียงใด เขาโผล่เข้าไปในราชสำนักที่เขาไม่รู้จักอะไร เขาแค่อยากจะเข้าร่วม เขาเพียงแค่ทำตามความปรารถนาและความฝัน และทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มันมา เขาไม่คิดว่าการทำเช่นนั้น อาจทำให้เกิดความอิจฉาและริษยาขึ้น ธอร์คิดทบทวนไปมาเหมือนเป็นปริศนา แต่ก็ไม่อาจจะหาคำตอบได้

ขณะที่ธอร์ครุ่นคิด พวกเขาก็เดินมาถึงยอดเนิน และภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าพวกเขา ทำให้สิ่งที่คิดอยู่จางหายไป ธอร์หายใจไม่ออก ไม่ใช่เพราะสายลมที่พัดแรงนี้

ที่เห็นอยู่ตรงหน้าและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา คือหุบเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ธอร์ได้เห็นมัน ภาพที่เห็นทำให้เขาตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจขยับตัวได้ มันยิ่งใหญ่อลังการที่สุดที่เขาเคยเห็น เป็นช่องว่างขนาดมหึมาในพื้นดินที่เหยียดยาวไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด มีเพียงสะพานแคบ ๆ อันเดียวพาดข้าม มีทหารยืนอยู่เป็นแนว เหมือนสะพานนี้ทอดยาวไปสุดอีกด้านของโลก

หุบเขาอาบไล้ด้วยแสงสีเขียวและฟ้าขณะที่อาทิตย์ดวงที่สองกำลังตกดิน รัศมีสะท้อนหน้าผาเป็นประกาย เมื่อธอร์รู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็เริ่มเดินไปพร้อมคนอื่น เข้าไปใกล้สะพานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาสามารถมองลงไปในความลึกของช่องหุบเขา พวกเขาดูเหมือนจะตกลงไปในก้นบึ้งของโลก ธอร์มองไม่เห็นก้นเหวด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันไม่มีก้น หรือเพราะมีหมอกปกคลุมอยู่ หินที่เรียงตัวเป็นหน้าผาดูมีอายุเป็นล้านปี เป็นรูปแบบการก่อตัวที่น่าจะเกิดจากพายุเมื่อหลายร้อยปีก่อน เป็นสถานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขาเคยเห็น เขาไม่เคยรู้เลยว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ เจิดจ้าและมีชีวิตชีวา

มันเหมือนกับเขาได้มาสู่การเริ่มต้นของสรรพสิ่ง

ธอร์ได้ยินเสียงคนอื่นครางออกมาก

ความคิดว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะต้องลาดตระเวนที่หุบเขานี้มันช่างน่าหัวเราะ พวกเขากลายเป็นคนแคระไปเลย เมื่อเทียบกับขนาดที่เห็น

ขณะที่เดินมุ่งหน้าไปยังสะพาน นายทหารที่อยู่ทั้งสองข้างลุกขึ้นระวังตรง เปิดทางให้พลลาดตระเวนใหม่ ธอร์รู้สึกใจเต้นแรงขึ้น

“ข้าไม่เห็นทางเลยว่าเราสี่คนจะลาดตระเวนที่นี่ได้อย่างไร” โอคอนเนอร์บอก

เอลเด็นหัวเราะ “มีพลลาดตระเวนคนอื่น ๆ นอกจากเรา พวกเราเป็นแค่เฟืองตัวหนึ่งในเครื่องจักร”

ขณะเดินข้ามสะพาน ได้ยินเพียงเสียงลมพัดแรงกับเสียงรองเท้าบู้ท และเสียงฝีเท้าม้าของอีเร็คที่เดินมาด้วย เสียงกีบเท้าม้าทำให้เกิดเสียงกลวง ๆ ดังขึ้นให้ความมั่นใจ เป็นความจริงเพียงสิ่งเดียวที่ธอร์ยึดไว้ในสถานที่ที่เหนือจริงแห่งนี้

ทหารที่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพอีเร็ค ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างที่ยืนเฝ้ายาม พวกเขาคงจะเคยทำมาเป็นร้อยครั้งแล้ว

ธอร์อดสังเกตไม่ได้ที่ทั้งสองด้านของพวกเขา มีไม้แหลมเสียบหัวประจานปักอยู่ทุกสองสามฟุต เป็นหัวของผู้บุกรุกที่ป่าเถื่อน บางอันยังดูใหม่ ยังมีเลือดไหลหยด

ธอร์เมินหนี มันทำให้ทั้งหมดนี้จริงเกินไป เขาไม่รู้ว่าตัวเองพร้อมรับหรือไม่ เขาพยายามไม่จินตนาการถึงการต่อสู้ที่ทำให้เกิดหัวเสียบไม้พวกนี้ ชีวิตที่ต้องสูญสิ้นไป และสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ที่อีกด้าน ธอร์สงสัยว่าพวกเขาจะได้กลับมาหรือไม่ นั่นคือจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้หรือไม่? เพื่อสังหารเขาเสีย?

เขาชะโงกมองที่ชายขอบ มองหน้าผาที่ทอดลงไปอย่างไม่สิ้นสุด ได้ยินเสียงร้องของนกดังอยู่ไกล ๆ เป็นเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาสงสัยว่าเป็นนกชนิดไหน และจะมีสัตว์แปลกใหม่อะไรซุ่มรออยู่ที่อีกฝั่ง

แต่ไม่ใช่สัตว์หรือหัวพวกนั้นหรอกที่กวนใจเขา เหนืออื่นใด มันคือความรู้สึกเกี่ยวกับที่นี่ต่างหาก เขาบอกไม่ถูกว่าเป็นหมอก หรือเสียงลมพัด หรือความกว้างใหญ่ของท้องฟ้าเปิดโล่ง หรือแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตก แต่บางสิ่งที่นี่มันช่างเหนือจริง มันห้อมล้อมเขาไว้ ธอร์รู้สึกถึงพลังแห่งเวทมนตร์หนักหน่วงแฝงอยู่ในทุกสิ่ง เขาสงสัยว่ามันคือพลังปกป้องของดาบ หรือพลังบางอย่างที่เก่าแก่ เขารู้สึกว่าไม่เพียงแต่กำลังเดินข้ามดินแดนกว้างใหญ่ แต่กำลังข้ามไปยังอีกอาณาจักรแห่งชีวิต

เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเลี้ยงแกะอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่น่าเชื่อที่ตอนนี้เขากำลังจะได้ใช้เวลายามค่ำคืน ไร้ซึ่งการปกป้องที่อีกด้านของหุบเขาเป็นครั้งแรกในชีวิต

บทที่ 16

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับไปจากท้องฟ้า เกิดแสงสีแดงเข้มผสมกับสีฟ้า ซึ่งดูจะโอบล้อมจักรวาลไว้ ธอร์พร้อมด้วยเจ้าชายรีส โอคอนเนอร์ และเอลเด็น เดินต่อไปตามทางที่ทอดนำไปสู่ป่าในแดนเถื่อน ธอร์ไม่เคยหวาดหวั่นขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสี่คน อีเร็ครออยู่ที่ค่ายพัก แม้พวกเขาจะขัดแย้งกัน แต่ตอนนี้ธอร์คิดว่าพวกเขาต่างต้องการกันและกันยิ่งกว่าเคย พวกเขาต้องร่วมใจกัน เมื่อไม่มีอีเร็ค ก่อนที่จะออกเดินทางมา อีเร็คบอกพวกเขาไม่ให้กังวล เขาจะรออยู่ที่ฐานและจะได้ยินเสียงเรียกของพวกเขา และจะมาช่วยหากพวกเขาต้องการ

ตอนนี้ธอร์กลับรู้สึกมั่นใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อแนวป่าแคบลง ธอร์มองไปรอบ ๆ ในสถานที่แปลกใหม่นี้ พื้นป่าเต็มไปด้วยหนามและผลไม้ประหลาด กิ่งก้านของต้นไม้มากมายเป็นตะปุ่มตะป่ำและโบราณอยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสกัน ใกล้มากจนธอร์ต้องก้มหลบอยู่บ่อย ๆ ต้นไม้มีหนามแทนที่จะเป็นใบไม้ พวกมันยื่นออกมาจากทุกที่ มีเถาวัลย์สีเหลืองห้อยระลงมาและธอร์ก็ทำพลาดที่ยื่นมือขึ้นไปผลักมันให้พ้นหน้า เพียงเพื่อจะพบว่ามันคืองู เขาตะโกนออกมา แล้วกระโดดหลบทันเวลา

เขาคิดว่าคนอื่นจะหัวเราะ แต่ทุกคนกลับสงบเสงี่ยมด้วยความกลัว รอบตัวพวกเขามีเสียงประหลาดของสัตว์ที่ไม่เคยพบ บางเสียงเป็นเสียงต่ำ ๆ ในลำคอ บ้างก็เป็นเสียงสูงและแหลม บางเสียงสะท้อนก้องอยู่ไกล ๆ บางเสียงก็อยู่ใกล้อย่างไม่น่าเชื่อ ยามราตรีมาถึงอย่างรวดเร็วขณะที่ทุกคนมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่า ธอร์รู้สึกมั่นใจว่าสักช่วงขณะหนึ่งพวกเขาจะต้องถูกลอบโจมตี เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง มันก็ยิ่งยากที่จะมองแม้แต่ใบหน้าของเพื่อนร่วมคณะ เขาจับดาบไว้มั่นจนข้อนิ้วขาว ขณะที่อีกมือกำหนังสติ๊กไว้ คนอื่น ๆ ก็จับอาวุธของตัวเองไว้เหมือนกัน

ธอร์ปลุกใจตัวเองให้เข้มแข็ง มั่นใจและกล้าหาญเหมือนเช่นอัศวินที่ดีควรเป็น เหมือนที่อีเร็คสอนเขา มันดีกว่าที่จะเผชิญหน้ากับความตายในตอนนี้ แล้วต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัว เขาพยายามเชิดหน้าและเดินอย่างกล้าหาญไปข้างหน้า และพยายามเร่งฝีเท้าขึ้น นำคนอื่นไปสองสามฟุต หัวใจเขาเต้นรัว แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับความกลัวของตัวเอง

“เราลาดตระเวนเพื่ออะไรกันแน่?” ธอร์ถาม

ทันทีที่พูดออกมา เขารู้สึกว่ามันอาจจะเป็นคำถามที่โง่เง่า และคิดว่าเอลเด็นจะต้องหัวเราะเยาะ

แต่เขาต้องประหลาดใจที่มีแต่ความงียบ ธอร์หันไปมองและเห็นตาขาวของเอลเด็น จึงรู้ว่าเขากลัวยิ่งกว่า อย่างน้อยนี่ก็ทำให้ธอร์รู้สึกมั่นใจขึ้น เขาเด็กกว่าและตัวเล็กกว่า แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ความกลัว

“ข้าว่าน่าจะเป็นศัตรู” เจ้าชายรีสตรัสตอบในที่สุด

“แล้วมันคือใครกันล่ะ?” ธอร์ทูลถาม “หน้าตาเป็นยังไง?”

“มีศัตรูมากมายหลายประเภทที่นี่” เจ้าชายตรัส “เราอยู่ในแดนเถื่อนแล้วตอนนี้ มีพวกคนเถื่อนหลายชนชาติ แล้วยังมีสัตว์ร้ายอีกหลายเผ่าหลายพันธุ์”

“แต่เป้าหมายการลาดตระเวนของเราคืออะไร?” โอคอนเนอร์ถามขึ้น “เราจะสร้างความแตกต่างอะไรได้กับการมาลาดตระเวน? ถึงแม้เราจะฆ่าได้คนหรือสองคน มันจะช่วยหยุดอีกเป็นล้านข้างหลังได้หรือ?”

“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างความประทับใจ” เจ้าชายรีสตรัส “เรามาเพื่อแสดงตัว ในฐานะตัวแทนของพระราชา เพื่อให้พวกมันรู้ว่าอย่าเข้ามาใกล้หุบเขาเกินไป”

“ข้าว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราจะรอให้พวกมันข้ามสะพานไป แล้วจึงค่อยจัดการกับพวกมัน” โอคอนเนอร์ทูล

“ไม่” เจ้าชายตรัส “มันดีกว่าที่จะขัดขวางไม่ให้เข้าไปใกล้ นั่นคือสาเหตุของการลาดตระเวน อย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่เชษฐาของข้าบอก”

ธอร์ใจเต้นเมื่อเดินลึกเข้าไปอีก

“เราต้องไปไกลแค่ไหนกัน?” เอลเด็นถามขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงเขาสั่น

 

“เจ้าจำที่คอล์คบอกไม่ได้หรือ? เราต้องไปเอาธงแดงมาให้ได้ แล้วนำกลับไป” เจ้าชายตรัส “เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าเรามาลาดตระเวนไกลพอ”

“ข้าไม่เห็นธงที่ไหนเลย” โอคอนเนอร์บอก “ที่จริงข้าแทบจะไม่เห็นอะไรเลย แล้วเราจะกลับไปได้อย่างไร?”

ไม่มีใครตอบ ธอร์กำลังคิดอย่างเดียวกัน พวกเขาจะหาธงเจอในความมืดของราตรีได้อย่างไรกัน? เขาเริ่มคิดว่านี่อาจจะเป็นอุบาย เป็นบททดสอบ เป็นการทดสอบทางจิตวิทยาที่กองทหารยุวชนใช้กับพวกเด็กหนุ่ม เขาคิดถึงคำพูดของอีเร็คขึ้นมาอีก เกี่ยวกับศัตรูมากมายในราชสำนัก เขารู้สึกห่อเหี่ยวกับการลาดตระเวนนี้ พวกเขาถูกจัดฉากหรือไม่?

ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องน่ากลัวดังขึ้น ตามด้วยความเคลื่อนไหวในหมู่ไม้ มีบางอย่างใหญ่โตกำลังวิ่งมาทางพวกเขา ธอร์ชักดาบออกมา เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ เสียงดาบออกจากฝัก เสียงโลหะกระทบโลหะ ดังอยู่ในอากาศเมื่อพวกเขายืนประจำที่ ถือดาบไว้ด้านหน้า มองไปรอบตัวอย่างกังวล

“นั่นอะไรน่ะ?” เอลเด็นร้องออกมา เสียงเขาพร่าด้วยความกลัว

เจ้าสัตว์ร้ายวิ่งผ่านไปอีกครั้ง โผนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านของป่า คราวนี้พวกเขามองเห็นมันได้ชัด

ธอร์ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นมัน

“แค่กวางน่ะ” เขาบอกอย่างโล่งอก “เป็นกวางที่ดูประหลาดที่สุดที่ข้าเคยเห็น แต่มันก็กวางน่ะแหละ”

เจ้าชายน้อยทรงพระสรวล ฟังดูมั่นใจ เสียงหัวเราะฟังเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง เมื่อธอร์ได้ยิน เขารู้ว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะของราชาในอนาคต เขารู้สึกดีที่มีเพื่อนอยู่เคียงข้าง จึงหัวเราะออกมาด้วย ความกลัวเมื่อกี้ช่างเปล่าประโยชน์

“ข้าไม่เคยรู้ว่าเสียงเจ้าแหบเวลาที่กลัว” เจ้าชายรีสทรงล้อเลียนเอลเด็น แล้วหัวเราะออกมาอีก

“ถ้าข้ามองเห็นท่าน ข้าจะชกท่าน” เอลเด็นบอก

“ข้าเห็นเจ้าชัดดีนะ” เจ้าชายรีสตรัส “ลองเข้ามาสิ”

เอลเด็นมองกลับไป แต่ไม่กล้าทำอะไร เขาสอดดาบกลับเข้าฝักแทน เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ธอร์พอใจที่เจ้าชายทรงทำให้เอลเด็นจนแต้ม ปกติเขาเป็นคนที่ล้อเลียนคนอื่น สมควรแล้วที่เขาจะโดนบ้าง ธอร์ชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าชายที่ทรงทำเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรเอลเด็นก็ตัวใหญ่กว่าถึงสองเท่า

ธอร์รู้สึกคลายความตึงเครียดในที่สุด พวกเขาได้พบการเผชิญหน้าครั้งแรกแล้ว น้ำแข็งได้ละลายไปแล้ว และพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ธอร์เอนตัวแล้วหัวเราะออกมาด้วยอย่างมีความสุขที่ยังมีชีวิต

“หัวเราะไปเถอะ เจ้าเด็กประหลาด” เอลเด็นบอก “เราจะได้เห็นกันว่าใครจะเป็นคนหัวเราะทีหลัง”

ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้า เหมือนที่เจ้าชายรีสทรงทำ ธอร์คิด ข้าเพียงโล่งใจที่ยังมีชีวิตอยู่

แต่เขาไม่อยากจะพูดออกมา เขารู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความเกลียดชังที่เอลเด็นมีต่อเขาได้

“ดูนั่น!” โอคอนเนอร์ตะโกน “ตรงนั้น!”

ธอร์หรี่ตาแต่แทบจะไม่เห็นสิ่งที่โอคอนเนอร์ชี้ให้ดูในความมืดมิด แต่แล้วเขาก็เห็นมัน ธงของกองทหารยุวชน แขวนอยู่ที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง

พวกเขารีบวิ่งไปหามัน

เอลเด็นวิ่งนำคนอื่น ผลักคนอื่นให้พ้นทางอย่างรุนแรง

“ธงนั่นเป็นของข้า” เขาตะโกน

“ข้าเห็นมันก่อน” โอคอนเนอร์ตะโกนตอบ

“แต่ข้าจะไปเอามันก่อน แล้วเป็นคนนำมันกลับไป!” เอลเด็นตะโกนอีก

ธอร์โกรธ เขาไม่อยากเชื่อว่าเอลเด็นจะทำเช่นนี้ เขานึกถึงที่คอล์คบอก ว่าใครก็ตามที่นำธงกลับไปจะได้รับรางวัล และรู้ว่าทำไมเอลเด็นจึงรีบวิ่งไป แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง พวกเขาควรจะเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นคณะเดียวกัน ไม่ใช่แยกตัวคนเดียว เอลเด็นเผยตัวตนของเขาออกมา ไม่มีใครวิ่งเข้าไปแย่ง แต่เขาพยายามที่จะเหนือคนอื่น นั่นทำให้ธอร์ยิ่งเกลียดเอลเด็นมากขึ้น

เอลเด็นพุ่งไปข้างหน้าหลังจากที่ตีศอกใส่โอคอนเนอร์ และก่อนที่ใครจะทันทำอะไร เขาก็นำหน้าคนอื่นไปหลายฟุต และดึงธงมาได้

ขณะที่เขาดึงธง มีตาข่ายขนาดใหญ่โผล่จากพื้น กระเด้งลอยขึ้นไปในอากาศ ขังเอลเด็นไว้และแขวนเขาไว้ด้านบน เขาเหวี่ยงตัวไปมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา ห่างไปไม่กี่ฟุต เหมือนสัตว์ที่ติดกับ

“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!” เขากรีดร้องอย่างหวาดกลัว

พวกเขาผ่อนฝีเท้าลงเป็นเดินเข้าไปใกล้ เจ้าชายทรงพระสรวล

“เอ่อ ใครเป็นไอ้ขี้ขลาดกันล่ะตอนนี้?” เจ้าชายรีสทรงตะโกนออกมาอย่างขบขัน

“ไอ้ตัวเปี๊ยก!” เขาตะโกน “ถ้าข้าลงไปได้ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“โอ้ จริงหรือ?” เจ้าชายโต้ “แล้วจะเมื่อไหร่กันล่ะ?”

“ปล่อยข้าลงไป!” เอลเด็นตะโกน ดิ้นรนอยู่ในตาข่าย “ข้าขอสั่งเจ้า!”

“โอ้ เจ้าสั่งเราอย่างนั้นหรือ?” เจ้าชายตรัส ก่อนจะสรวลเสียงดัง

ทรงหันไปมองธอร์

“เจ้าคิดว่ายังไง?” ตรัสถาม

“ข้าคิดว่าเขาติดค้างคำขอโทษพวกเราทุกคน” โอคอนเนอร์บอก “โดยเฉพาะธอร์”

“ข้าเห็นด้วย” เจ้าชายรีสตรัส “ข้าจะบอกอะไรให้นะ” ทรงหันไปตรัสกับเอลเด็น “ขอโทษ อย่างจริงใจด้วยนะ แล้วข้าจะพิจารณาปล่อยเจ้าลงมา”

“ขอโทษอย่างนั้นหรือ?” เอลเด็นตะโกนอย่างหวาดกลัว “อีกหนึ่งล้านดวงอาทิตย์ก็ไม่มีวัน”

เจ้าชายหันไปหาธอร์

“บางทีเราน่าจะปล่อยเจ้าทึ่มนี่ไว้อย่างนั้นสักคืน คงจะเป็นอาหารอย่างดีให้พวกสัตว์แถวนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ธอร์ยิ้มกว้าง

“ข้าว่าเป็นความคิดที่ดี” โอคอนเนอร์บอก

“เดี๋ยว!” เอลเด็นร้องเสียงหลง

โอคอนเนอร์ยื่นมือไปดึงธงจากมือของเอลเด็น

“รู้สึกว่าเจ้าจะไม่ได้เอาชนะเราเรื่องธงนั่นเลย” โอคอนเนอร์บอก

ทั้งสามคนหันหลัง แล้วจะเดินจากไป

“ไม่ เดี๋ยวก่อน!” เอลเด็นร้อง “เจ้าทิ้งข้าไว้ที่นี่ไม่ได้! เจ้าทำไม่ได้!”

ทั้งสามคนยังเดินต่อไป

“ข้าขอโทษ!” เอลเด็นเริ่มสะอื้น “ได้โปรด ข้าขอโทษ!”

ธอร์หยุด แต่เจ้าชายรีสกับโอคอนเนอร์ยังเดินต่อไป ในที่สุดเจ้าชายก็ทรงหันกลับมา

“เจ้าจะทำอะไร?” ตรัสถามธอร์

“เราทิ้งเขาไว้แบบนั้นไม่ได้” ธอร์ทูล แม้จะเกลียดเอลเด็นแค่ไหน แต่ธอร์ก็คิดว่าไม่ถูกต้องที่จะทิ้งเขาไว้อย่างนั้น

“ทำไมจะไม่ได้?” เจ้าชายตรัสถาม “เขาหาเรื่องเอง”

“ถ้าหากเป็นเจ้าที่อยู่บนนั้น” โอคอนเนอร์บอก “เจ้าก็รู้ว่าเขาคงยินดีทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ เจ้าจะสนใจทำไม?”

“ข้าเข้าใจ” ธอร์บอก “แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทำเหมือนเขา”

เจ้าชายรีสยกหัตถ์ขึ้นเท้าสะโพก แล้วถอนหายใจแรง ขณะที่เอนองค์ลงมากระซิบบอกธอร์

“ข้าไม่ได้จะทิ้งเขาไว้ทั้งคืนหรอก อาจจะแค่ครึ่งคืน แต่เจ้าก็พูดถูก ถ้าไม่ปล่อยเขาลงมา เขาอาจจะฉี่รดตัวเอง หรือหัวใจวายตาย เจ้ามันใจดีเกินไป นั่นละปัญหา” เจ้าชายตรัสบอก พลางวางหัตถ์ลงบนบ่าของธอร์ “แต่เพราะอย่างนั้นแหละ ข้าถึงเลือกเจ้าเป็นเพื่อน”

“ข้าด้วย” โอคอนเนอร์บอก วางมือลงบนบ่าอีกข้างของธอร์

ธอร์หันหลัง เดินกลับไปที่ตาข่าย แล้วเอื้อมมือขึ้นไปตัดมัน

เอลเด็นหล่นลงมาดังตุ้บ เขาตะกายลุกขึ้นยืน สะบัดตาข่ายออกจากตัว แล้วค้นหาไปบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง

“ดาบของข้า!” เขาตะโกน “มันอยู่ที่ไหน?”

ธอร์มองบนพื้น แต่มันมืดเกินไปที่จะเห็นอะไร

“มันคงกระเด็นตกไปในพุ่มไม้ ตอนที่เจ้าถูกดึงขึ้นไป” ธอร์บอก

“ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ตอนนี้มันก็หายไปแล้ว” เจ้าชายรีสตรัส “เจ้าไม่มีวันหาเจอ”

“เจ้าไม่เข้าใจ” เอลเด็นโอดครวญ “กองทหารยุวชน มีกฎข้อหนึ่ง ห้ามทำอาวุธหาย ข้ากลับไปไม่ได้ ถ้าไม่มีมัน ข้าต้องถูกไล่ออก”

ธอร์หันไปหาตามพื้นอีกครั้ง หาดูตามต้นไม้ หาทุกที่ แต่ก็ไม่พบดาบของเอลเด็น รีสและโอคอนเนอร์ยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ช่วยหา

“ข้าเสียใจ” ธอร์บอก “ข้าไม่เห็นมันเลย”

เอลเด็นหาไปทุกที่ จนยอมแพ้ในที่สุด

“เป็นความผิดเจ้า” เขาบอกพลางชี้ที่ธอร์ “เจ้าพาเรามาสู่เรื่องวุ่นวายนี่!”

“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ” ธอร์ตอบ “เจ้าต่างหาก! เจ้าวิ่งไปหาธง เจ้าผลักเราออกไปพ้นทาง เจ้าโทษใครไม่ได้หรอก นอกจากตัวเอง”

“ข้าเกลียดเจ้า!” เอลเด็นตะโกน

เขาพุ่งเข้าใส่ธอร์ คว้าเสื้อเขาไว้แล้วเหวี่ยงลงบนพื้น น้ำหนักของเขาทำให้ธอร์ต้านไม่ไหว ธอร์พยายามบิดตัวแต่เอลเด็นก็หมุนอีก แล้วกดเขาไว้กับพื้น เอลเด็นตัวใหญ่และแข็งแรงเกินไป มันยากเกินไปที่จะต้านทานเขาได้

จู่ ๆ เอลเด็นก็ปล่อยมือและกลิ้งออกไป ธอร์ได้ยินเสียงดาบถูกดึงออกจากฝัก มองขึ้นไปเห็นเจ้าชายรีสประทับยืนอยู่เหนือเอลเด็น จ่อปลายดาบเข้าที่คอของเขา

โอคอนเนอร์เอื้อมมือมาช่วยดึงธอร์ลุกขึ้นยืนทันที ธอร์ยืนอยู่ข้างเพื่อนทั้งสอง มองลงไปที่เอลเด็น ที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น ดาบของเจ้าชายยังจ่ออยู่ที่คอ

“ถ้าเจ้าแตะต้องเพื่อนข้าอีก” เจ้าชายบอกเอลเด้นช้า ๆ อย่างอำมหิต “ข้ารับรอง ข้าจะฆ่าเจ้า”

บทที่ 17

ธอร์ เจ้าชายรีส โอคอนเนอร์ เอลเด็น และอีเร็ค นั่งอยู่บนพื้น ล้อมวงกันอยู่รอบกองไฟที่กำลังลุก ทั้งห้าคนนั่งกันอยู่เงียบ ๆ อย่างหดหู่ ธอร์แปลกใจที่มันหนาวได้ถึงขนาดนี้ในคืนกลางฤดูร้อน มีบางอย่างเกี่ยวกับ

หุบเขาแห่งนี้ สายลมประหลาดหนาวเย็นที่พัดวนอยู่รอบ ๆ ผ่านหลังเขาไป ผสมรวมกับหมอกที่ไม่เคยจางหายไป ทำให้เขาชื้นไปถึงกระดูก เขาเอนตัวไปข้างหน้า ถูฝ่ามือเข้าหากัน อังความร้อนจากเปลวไฟ แต่ก็ไม่ทำให้มันอุ่นขึ้น

ธอร์เคี้ยวเนื้อตากแห้งที่คนอื่นส่งต่อมาให้ มันเหนียวและเค็ม แต่ก็ช่วยบำรุงกำลังให้เขาได้ อีเร็คเอื้อมมือมา ส่งบางอย่างให้เขา ธอร์รู้สึกถึงความนุ่มของถุงหนังใส่เหล้าองุ่นกดลงที่มือ มีของเหลวกระฉอกอยู่ในนั้น มันหนักอย่างน่าประหลาดเมื่อเขายกขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วกรอกมันลงไปในลำคออยู่นาน เขารู้สึกอุ่นเป็นครั้งแรกของคืนนี้

ทุกคนนั่งกันเงียบ ตามองเปลวไฟ ธอร์ยังคงระวังตัว การอยู่ที่ฝั่งนี้ของหุบเขา ในเขตแดนของศัตรู เขายังรู้สึกว่าควรจะเตรียมพร้อมทุกเวลา นอกจากนั้นยังรู้สึกประหลาดใจกับความเยือกเย็นของอีเร็ค ราวกับเขากำลังนั่งอยู่ในสนามหลังบ้านตัวเอง ธอร์โล่งใจที่อย่างน้อย เขาก็ออกมาจากแดนเถื่อนแล้ว ได้กลับมาอยู่กับ

อีเร็ค นั่งล้อมวงกันอยู่รอบกองไฟที่ให้ความมั่นใจ อีเร็คมองดูแนวป่า ระวังระไวกับทุกเสียง แต่ก็มั่นใจและผ่อนคลาย ธอร์รู้ว่าหากมีอันตรายใดเกิดขึ้น อีเร็คจะปกป้องเขาได้

ธอร์พอใจที่ได้อยู่ใกล้เปลวไฟ เขามองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนอื่นดูจะพอใจเหมือนกัน แน่นอนว่ายกเว้น

เอลเด็น ที่ดูหดหู่นับตั้งแต่กลับมาจากป่า เขาไม่วางโตอย่างมั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้ นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างบูดบึ้งและไร้ดาบ ผู้บังคับบัญชาไม่มีทางยกโทษให้กับความผิดพลาดเช่นนี้ เอลเด็นจะต้องถูกเตะออกจากกองทหารยุวชนเมื่อพวกเขากลับไป ธอร์สงสัยว่าเอลเด็นจะทำอย่างไร เขามีความรู้สึกว่าเอลเด็นจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เขาจะต้องมีกลเม็ดบางอย่าง หรือมีแผนสำรองซ่อนไว้ ธอร์คิดว่าไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

ธอร์หันมองตามสายตาของอีเร็คไปยังขอบฟ้าไกล ทางทิศใต้ มีแสงสว่างจาง ๆ เป็นสายยาวสุดลูกหูลูกตา ทำให้ยามค่ำคืนสว่างไสว ธอร์สงสัย

“นั่นคืออะไร?” เขาถามอีเร็คในที่สุด “แสงสว่างนั่น? ที่ท่านจ้องมองอยู่?”

อีเร็คเงียบไปนาน มีเพียงเสียงสะบัดของสายลม ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น โดยไม่หันมา “พวกโกรัล”

ธอร์สบตากับคนอื่น ๆ ซึ่งมองกลับมาอย่างหวาดกลัว ธอร์รู้สึกว่าท้องบิดเขม็งเมื่อคิดถึงมัน พวกโกรัล อยู่ใกล้มาก ไม่มีอะไรขวางกั้นพวกมันไว้ นอกจากป่าธรรมดากับที่ราบกว้าง ไม่มีหุบเขามหึมาที่ช่วยขวางไว้ และทำให้พวกเขาปลอดภัย ตลอดชีวิตของเขา ได้ยินเรื่องราวของพวกป่าเถื่อนรุนแรงจากแดนเถื่อนพวกนี้ พวกมันไม่มีเป้าหมายอื่น นอกจากการโจมตีอาณาจักรวงแหวน แล้วตอนนี้ไม่มีอะไรมาขวางพวกมัน เขาไม่อยากเชื่อว่าพวกมันมีมากเพียงใด เป็นกองทัพมหึมาที่กำลังรอคอย

“ท่านไม่กลัวหรือ?” ธอร์ถามอีเร็ค

อีเร็คส่ายหน้า

“พวกโกรัลเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียว พวกมันตั้งค่ายอยู่ตรงนั้นทุกคืน มาหลายปีแล้ว พวกมันคงจะโจมตีหุบเขาถ้าเคลื่อนทัพทั้งหมดแล้วโจมตีพร้อมกัน แต่พวกมันไม่กล้าลองหรอก พลังของดาบทำหน้าที่เหมือนเป็นโล่ พวกมันรู้ว่าไม่อาจฝ่าเข้ามาได้”

“ถ้าอย่างนั้นพวกมันตั้งค่ายอยู่ตรงนั้นทำไมกัน?” ธอร์ถาม

“เป็นวิธีข่มขวัญของพวกมัน และเตรียมพร้อม ในอดีตสมัยบิดาของพวกเรา พวกมันเคยโจมตีและพยายามบุกข้ามหุบเขามาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยของข้า”

ธอร์เงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวสีเหลือง ฟ้า และส้มระยิบระยับอยู่เบื้องบน พลางสงสัย ที่ฝั่งนี้ของหุบเขาเป็นสถานที่ของฝันร้าย และเป็นเช่นนี้มาตั้งเขาหัดเดิน แค่คิดถึงมันเขาก็รู้สึกกลัวแล้ว แต่ก็พยายามผลักมันออกไป ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกกองทหารยุวชน ต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นด้วย

“อย่ากังวลไปเลย” อีเร็คบอก ราวกับอ่านใจเขาออก “พวกมันจะไม่โจมตีระหว่างที่เรามีดาบแห่งโชคชะตาอยู่”

“ท่านเคยถือมันไหม?” ธอร์ถามอีเร็ค นึกสงสัยขึ้นมา “ดาบน่ะ?”

“ไม่เคยหรอก” อีเร็คตอบทันที “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้จับ ยกเว้นผู้สืบทอดจากกษัตริย์”

ธอร์มองเขาอย่างสับสน

“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมล่ะ?”

เจ้าชายรีสกระแอม

“ข้าขออธิบายนะ?” ทรงตรัสแทรกขึ้น

อีเร็คพยักหน้า

“มีตำนานเกี่ยวกับดาบ จริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครยกมันขึ้นได้ ตำนานบอกว่าจะมีชายคนหนึ่ง ผู้ที่ถูกเลือก จึงจะเป็นคนที่สามารถยกมันขึ้นมาได้ มีเพียงพระราชาที่ได้รับอนุญาตให้ลองยก หรือคนที่ได้รับแต่งตั้งให้สืบทอดราชบัลลังก์ เป็นรัชทายาท ดังนั้นมันก็เลยถูกวางนิ่งอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครแตะต้อง”

“แล้วพระราชาองค์ปัจจุบันล่ะ? พระบิดาของท่านน่ะ?” ธอร์ทูลถาม “ท่านไม่ได้ทรงลองหรือ?”

เจ้าชายหลุบพระเนตร

“ทรงเคยลองครั้งหนึ่ง ตอนที่ขึ้นครองราชย์ ทรงเล่าให้พวกเราฟังว่า พระองค์ไม่สามารถยกมันขึ้นได้ ดาบก็เลยถูกทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นของแสลงใจพระบิดา ทรงเกลียดมัน มันเป็นภาระของพระองค์เหมือนสิ่งมีชีวิต”

“เมื่อผู้ถูกเลือกมาถึง” เจ้าชายตรัสต่อ “เขาจะปลดปล่อยอาณาจักรวงแหวนจากศัตรูทั้งมวล แล้วนำเราไปสู่โชคชะตาที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยรู้จัก สงครามทั้งหมดจะยุติ”

“เทพนิยายไร้สาระ!” เอลเด็นแทรกขึ้น “ไม่มีใครยกดาบนั่นได้หรอก มันหนักเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่มีผู้ถูกเลือกด้วย มันแค่เรื่องหลอกเด็ก ตำนานนี้สร้างขึ้นมาเพื่อกดหัวคนธรรมดาไว้ หลอกให้เรารอ

‘ผู้ถูกเลือก’ ที่สมมุติขึ้น เพื่อปลุกใจสายเลือดแม็คกิล มันเป็นตำนานที่มีประโยชน์มากสำหรับพวกเขา”

“หุบปากของเขาเสีย เจ้าหนู” อีเร็คตะคอก “เจ้าจะต้องพูดถึงราชาของเจ้าด้วยความเคารพเสมอ”

เอลเด็นก้มหน้าลง อย่างเจียมตัว

ธอร์คิดถึงทุกสิ่ง พยายามเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ แต่มันมากมายไปที่จะทำความเข้าใจพร้อม ๆ กัน ตลอดชีวิตของเขา เฝ้าฝันที่จะได้เห็นดาบแห่งโชคชะตา เขาได้ยินเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับความสมส่วนของมัน มีข่าวลือว่ามันถูกตีขึ้นจากวัสดุที่ไม่มีใครรู้จัก น่าจะเป็นดาบวิเศษ มันทำให้ธอร์รู้สึกสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขาไม่มีดาบคอยปกป้อง กองทัพของพระราชาจะถูกพิชิตโดยจักรวรรดิหรือไม่? ธอร์มองออกไปที่แสงเรืองรองตรงขอบฟ้า มันดูเหมือนจะทอดยาวไปไม่สิ้นสุด

 

“ท่านเคยออกไปที่นั่นไหม?” ธอร์ถามอีเร็ค “ออกไปไกลข้างนอกนั่น? เลยแนวป่าไป? เข้าไปในแดนเถื่อน?”

คนอื่น ๆ ต่างหันมามองอีเร็ค ขณะที่ธอร์รอคอยคำตอบของเขาอย่างกระวนกระวาย ในความเงียบสนิทนั้น อีเร็คจ้องมองเปลวไฟอยู่นาน นานจนธอร์เกือบจะคิดว่าเขาจะตอบออกมาไหม เด็กหนุ่มหวังว่าเขาจะไม่ได้สอดรู้เกินไป เขาสำนึกในบุญคุณและรู้สึกติดค้างอีเร็ค และแน่นอนว่าไม่อยากจะทำให้เขาอารมณ์เสีย ธอร์เองก็ไม่แน่ใจว่าเขาอยากรู้คำตอบหรือไม่

เมื่อธอร์เริ่มคิดว่าไม่น่าถามออกมา อีเร็คก็พูดขึ้น

“เคย” เขาบอกอย่างเคร่งขรึม

คำพูดคำเดียวนั้นลอยค้างอยู่ในอากาศเนิ่นนาน และในคำพูดนี้ ธอร์สัมผัสถึงแรงดึงดูดที่บอกทุกอย่างที่เขาอยากรู้

“มันเป็นอย่างไรข้างนอกนั่น?” โอคอนเนอร์ถามขึ้น

ธอร์โล่งอกที่เขาไม่ใช่คนเดียวที่ถามคำถาม

“มันถูกปกครองโดยจักรวรรดิที่ไร้ความปราณี” อีเร็คบอก “แต่มีดินแดนที่กว้างใหญ่และหลากหลาย มีดินแดนคนเถื่อน ดินแดนทาส และดินแดนของอสูรกาย เป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่เหมือนที่เจ้าเคยจินตนาการ แล้วก็มีทะเลทราย ภูเขาและเนินเขาไกลสุดลูกหูลูกตา มีหนองน้ำ บึง และมหาสมุทรใหญ่ มีดินแดนของดรูอิด และดินแดนของมังกร”

ธอร์ตาโต

“มังกรหรือ?” เขาถามอย่างประหลาดใจ “ข้าคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง”

อีเร็คมองเขา พลางบอกอย่างจริงจัง

“ข้ารับรองว่ามันมีอยู่จริง มันเป็นที่ที่เจ้าจะไม่อยากไป ที่ที่แม้แต่โกรัลยังกลัว”

ธอร์หมกหมุ่นอยู่กับความคิด เขาแทบนึกภาพการออกไปเสี่ยงอันตรายในโลกข้างนอกนั่นไม่ออก เขาสงสัยว่าอีเร็ครอดกลับมาได้อย่างไร ธอร์เตือนตัวเองให้ถามเขาในโอกาสหน้า

มีคำถามมากมายเหลือเกินที่ธอร์อยากจะถาม ทั้งเรื่องจักรวรรดิอำมหิต และคนที่ปกครองมัน ทำไมพวกนั้นถึงอยากจะโจมตี อีเร็คออกไปผจญภัยเมื่อไรและกลับมาเมื่อไร แต่เมื่อธอร์จ้องมองที่เปลวไฟ มันเหมือนเหน็บหนาวมากขึ้นและมืดมิดลง ขณะที่คำถามต่าง ๆ หมุนวนอยู่ในหัวเขา ธอร์ก็รู้สึกว่าหนังตาเขาหนักขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะถาม

เขาปล่อยให้นิทราพาเขาล่องลอยไป ธอร์เอนศีรษะลงบนพื้น ก่อนที่หลับตาลง เขามองไปที่พื้นดินแปลกตาและสงสัยว่าเมื่อไรเขาจะได้กลับบ้าน หรือเขาจะได้กลับไปหรือไม่

*

ธอร์ลืมตาขึ้น รู้สึกสับสนและสงสัยว่าเขาอยู่ที่ไหน และเขามาที่นี่ได้อย่างไร เขามองลงไปและเห็นหมอกหนาสูงถึงเอว หนาจนเขามองไม่เห็นเท้าตัวเอง เขาหันไปเห็นดวงอาทิตย์โผล่อยู่เหนือหุบเขาตรงหน้า ไกลออกไปอีกด้านเป็นบ้านเกิดของธอร์ เขายังคงอยู่ที่ฝั่งนี้ อยู่ผิดด้านของหุบเขา ใจเขาเต้นเร็วขึ้น

ธอร์มองไปที่สะพานแต่ช่างน่าแปลก ที่ตอนนี้ไม่มีทหารอยู่เลย ที่นั่นดูเหมือนถูกทิ้งร้าง เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะกำลังมองดูสะพาน แผ่นไม้กระดานก็หลุดร่วงลงไปทีละแผ่นเหมือนโดมิโน ไม่ช้าสะพานก็ถล่มลงไปในหน้าผา ก้นผาอยู่ลึกลงไปมาก เขาไม่ได้ยินเสียงไม้กระดานหล่นกระทบพื้นด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายแล้วหันกลับมามองหาคนอื่น ๆ แต่ไม่เห็นใครเลย เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้เขาติดอยู่ที่นี่ เพียงลำพัง ที่อีกด้านของหุบเขา โดยที่ไม่มีทางกลับไปได้เลย เขาไม่เข้าใจว่าคนอื่น ๆ หายไปไหน

ธอร์ได้ยินบางอย่าง เขาหันไปมองดูในป่า เห็นการเคลื่อนไหว จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางเสียงนั้น เท้าของเขาจมลงไปในดินตอนที่เดินไป เมื่อเข้าไปใกล้ เขาแอบเห็นตาข่ายแขวนลงมาจากกิ่งไม้เตี้ย ๆ มีเอลเด็นอยู่ในนั้น กำลังหมุนไปรอบ ๆ เป็นวงกลม กิ่งไม้ส่งเสียงเอี้ยดอ้าดเวลาที่เขาขยับตัว

เหยี่ยวตัวหนึ่งเกาะอยู่เหนือศีรษะเขา ช่างเป็นสัตว์ที่สวยงามโด่ดเด่น ลำตัวเป็นมันเงาด้วยขนสีเงินและมีแถบสีดำพาดอยู่กลางหน้าผากระหว่างดวงตา มันก้มลงมาจิกดวงตาเอลเด็นแล้วคาบไว้ มันหันมาหาธอร์ โดยมีดวงตาคาอยู่ที่จงอยปาก

ธอร์อยากจะหันหน้าหนี แต่ก็ทำไมได้ ขณะที่เขาคิดได้ว่าเอลเด็นตายแล้ว จู่ ๆ ทั้งป่าก็กลับมีชีวิตขึ้น มีกองทัพพวกโกรัลพุ่งออกมาจากป่า จากทุกทิศทุกทาง พวกมันตัวใหญ่ สวมเพียงผ้าเตี่ยวกับแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามบึกบึน มีจมูกสามอันอยู่บนใบหน้ารูปสามเหลี่ยมของพวกมัน และมีเขี้ยวยาวโง้งสองข้าง พวกมันส่งเสียงขู่และคำราม วิ่งอย่างเร็วเข้าใส่ธอร์ เป็นเสียงที่ทำให้ขนหัวลุกและไม่มีทางที่เขาจะหนีไปไหนได้ เขายื่นมือลงไปจะคว้าดาบ แต่พบว่ามันหายไป

ธอร์กรีดร้อง

เขาตื่นและลุกพรวดขึ้นนั่ง หายใจหอบ มองไปทุกทิศอย่างตื่นตะหนก รอบ ๆ ตัวเขามีแต่ความเงียบ เป็นความเงียบจริง ๆ ที่มีชีวิตชีวา ไม่เหมือนความเงียบในความฝันของเขา

ท่ามกลางแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ เจ้าชายรีส โอคอนเนอร์และอีเร็คนอนเหยียดยาวอยู่ข้าง ๆ และมีกองไฟใกล้มอดอยู่ข้างพวกเขา บนพื้นมีเหยี่ยวกระโดดไปมา มันหันมาหาธอร์พลางผงกหัว เป็นเหยี่ยวตัวใหญ่สีเงินดูสง่า และมีแถบสีดำพาดลงมากลางหน้าผาก มันจ้องมาที่เขา มองตบสากันแล้วกรีดเสียงร้องแหลม เสียงของมันทำให้เขาตัวสั่น มันเป็นเหยี่ยวตัวเดียวกับที่เขาเห็นในความฝัน

ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่านกคือสารบอกข่าว บอกว่าความฝันของเขาเป็นมากกว่าความฝัน มีบางอย่างผิดปกติ เขารู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ ที่หลังแล้วแล่นไปตามแขนทั้งสองข้าง

ธอร์ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และมองไปรอบ ๆ นึกสงสัยว่ามันคืออะไรกัน ทุกอย่างดูปกติ สะพานยังอยู่ดี พวกทหารก็ยังอยู่ประจำที่

มันคืออะไรกัน? เขาสงสัย

แล้วเขาก็คิดออก มีบางคนหายไป เอลเด็น

ตอนแรกธอร์สงสัยว่าเอลเด็นอาจจะทิ้งพวกเขาไปก่อน มุ่งหน้าข้ามสะพานกลับไปที่อีกฝั่งของหุบเขา เขาอาจจะอับอายที่ทำดาบหาย เลยออกจากกองทหารยุวชนเสียเอง

แต่เมื่อธอร์มองเข้าไปในป่า เขาเห็นร่องรอยบนมอสส์ เป็นรอยเท้ามุ่งหน้าไปยังเส้นทางในป่าที่มีน้ำค้างยามเช้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารอยเท้าพวกนั้นเป็นของเอลเด็น เขายังไม่ได้หนีไป เขากลับเข้าไปในป่า เพียงลำพัง อาจจะเข้าไปปลดทุกข์ หรืออาจจะเข้าไปตามหาดาบของเขา ธอร์คิดขึ้นมาอย่างตกใจ

มันเป็นเรื่องโง่เง่ามากที่ไปตามลำพังแบบนั้น มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเอลเด็นสิ้นหวังเพียงใด ธอร์รู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องมีอันตรายใหญ่หลวง ชีวิตของเอลเด็นกำลังอยู่ในอันตราย

เหยี่ยวร้องเสียงแหลมขึ้นตอนนั้น ราวกับจะช่วยยืนยันความคิดของธอร์ มันเตะเท้าแล้วบินขึ้น ก่อนจะดิ่งลงมาใส่หน้าธอร์ เขาก้มหัวหลบ กรงเล็บของมันเฉี่ยวไปขณะที่มันทะยานขึ้นไปในอากาศ บินหายไป

ธอร์กระโจนออกไปโดยไม่คิด ไม่ได้หยุดพิจารณาสิ่งที่กำลังจะทำเลย เขาวิ่งเร็วเข้าไปในป่า ตามรอยเท้าพวกนั้นไป

เขาไม่ได้หยุดคิดกลัวเลยขณะที่วิ่งเข้าไปเพียงลำพัง ลึกเข้าไปในแดนเถื่อน หากเขาหยุดคิดว่ามันบ้าเพียงใด เขาอาจจะกลัวจนตัวแข็ง และคงจะรู้สึกตื่นตะหนก แต่เขาแค่ทำไปตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าต้องช่วยเอลเด็น เขาวิ่งและวิ่งไปเพียงลำพัง ลึกเข้าไปในป่าในแสงอรุณ

“เอลเด็น!” เขาร้องตะโกน

ธอร์อธิบายไม่ถูก แต่เขารู้สึกได้ว่าเอลเด็นกำลังจะตาย บางทีเขาไม่ควรจะสนใจ เพราะสิ่งที่เอลเด็นปฏิบัติต่อเขา แต่ธอร์ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ เขาต้องทำ หากเป็นเขาที่อยู่ในสถานการณ์นี้ เอลเด็นไม่มีทางมาช่วยแน่นอน มันช่างบ้ามากที่เอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง เพื่อคนที่ไม่ได้ใส่ใจเขาเลย หรือที่จริงแล้วอาจจะยินดีที่ได้เห็นเขาตาย แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ธอร์ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน การรับรู้ของเขากรีดร้องให้เขาตอบสนอง โดยเฉพาะบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจ ธอร์รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันเหมือนร่างกายของเขาถูกควบคุมโดยพลังลึกลับแปลกใหม่ และมันทำให้เขารู้สึกอึดอัด ควบคุมไม่ได้ นี่เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า? หรือเขาตื่นตูมเกินไป? ทั้งหมดนี่มันคือความฝันของเขาหรือเปล่า? บางทีเขาควรจะหันหลังกลับ

แต่ธอร์ก็ไม่ได้ทำ เขาปล่อยให้เท้าของเขาพาเขาไป และไม่ยอมแพ้ต่อความกลัวและความสงสัย เขาวิ่งและวิ่งจนปอดแทบระเบิด

ธอร์เลี้ยวไปทางหนึ่ง และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เขายืนอยู่ตรงนั้นพยายามหายใจ พยายามยอมรับภาพที่เห็นตรงหน้า ซึ่งไม่มีเหตุผลเลย นั่นมากพอที่จะทำให้นักรบผู้แข็งแกร่งต้องหวาดกลัว

เอลเด็นยืนอยู่ตรงนั้น กำลังถือดาบสั้นของเขาและเงยหน้ามองสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมือนอะไรที่ธอร์เคยเห็น มันช่างน่าสะพรึงกลัว ตระหง่านง้ำพวกเขาทั้งสอง สูงอย่างน้อยเก้าฟุต และใหญ่เท่ากับคนสี่คน มันยกแขนสีแดงเต็มไปด้วยมัดกล้าม มีนิ้วยาวสามนิ้ว ที่ดูคล้ายเล็บ อยู่ที่ปลายแขนแต่ละข้าง และหัวเหมือนปิศาจมีสี่เขา ขากรรไกรยาว หน้าผากกว้าง มันมีดวงตาสีเหลืองดวงใหญ่ มีเขี้ยวโค้งเหมือนงา มันเอนตัวไปข้างหลัง กรีดเสียงร้องแหลม

ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปีข้าง ๆ เขา แยกออกเป็นสองซีกเพราะพลังเสียง

เอลเด็นยืนตัวแข็งด้วยความกลัว เขาทิ้งดาบลง แล้วพื้นตรงที่เขายืนก็เปียกแฉะ

เจ้าตัวประหลาดน้ำลายไหลยืด ส่งเสียงคำราม แล้วเดินเข้าหาเอลเด็น

ธอร์เองก็กลัว แต่ต่างจากเอลเด็นตรงที่มันไม่ได้ทำให้เขาตัวแข็ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความกลัวได้ไปกระตุ้นการรับรู้ของเขา ทำให้เขารู้สึกตื่นตัว ทำให้เขามีอุโมงค์ทัศนวิสัย เพ่งความสนใจไปที่สัตว์ประหลาดตรงหน้าอย่างเต็มที่ ขณะที่มันเดินเข้าหาเอลเด็น เพ่งไปที่ความใหญ่ ความกว้าง พละกำลังและความเร็ว และทุกการเคลื่อนไหวของมัน และมันยังทำให้เขารู้สึกชัดเจนเกี่ยวกับท่าทางร่างกายของตัวเอง และอาวุธของเขา

ธอร์ตอบสนอง เขาพุ่งไปข้างหน้า ระหว่างเอลเด็นและสัตว์ร้าย เจ้าสัตว์ประหลาดคำราม ลมหายใจของมันร้อน จนธอร์รู้สึกได้แม้จะอยู่ห่าง เสียงคำรามทำให้ขนบนหลังคอของเขาลุกซู่ และทำให้เขาอยากหันหลัง แต่เสียงของอีเร็คดังก้องในหู บอกให้เขาแข็งแกร่ง อย่ากลัว จงมีสติ และเขาบังคับตัวเองให้ยืนหยัด

ธอร์ยกดาบขึ้นสูงแล้วพุ่งเข้าใส่ แทงเข้าไปในซี่โครงของมัน เล็งที่หัวใจ

สัตว์ร้ายร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลทะลักมาตามมือขณะที่ธอร์แทงลึกเข้าไปจนมิดถึงด้ามดาบ

แต่มันกลับไม่ตาย ซึ่งทำให้ธอร์ประหลาดใจ เจ้าสัตว์นี้ฆ่าไม่ตาย

มันไม่รอช้า มันเหวี่ยงแขนลงมาฟาดธอร์อย่างแรงจนเขารู้สึกเหมือนซี่โครงร้าว ธอร์กระเด็นลอยข้ามที่โล่ง ไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ ก่อนจะหล่นลงมาสู่พื้น เขารู้สึกปวดหัวอย่างมากขณะที่นอนอยู่ที่พื้น

Купите 3 книги одновременно и выберите четвёртую в подарок!

Чтобы воспользоваться акцией, добавьте нужные книги в корзину. Сделать это можно на странице каждой книги, либо в общем списке:

  1. Нажмите на многоточие
    рядом с книгой
  2. Выберите пункт
    «Добавить в корзину»