Бесплатно

เส้นทางแห่งวีรบุรุษ

Текст
0
Отзывы
iOSAndroidWindows Phone
Куда отправить ссылку на приложение?
Не закрывайте это окно, пока не введёте код в мобильном устройстве
ПовторитьСсылка отправлена
Отметить прочитанной
Шрифт:Меньше АаБольше Аа

บทที่ 26

ธอร์เดินไปตามทางเดินวกวนในป่าอยู่หลายชั่วโมง ครุ่นคิดถึงการได้พบกับเจ้าหญิงเกว็น เขาไม่อาจสลัดนางออกไปจากใจได้ เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันช่างแสนวิเศษ ไกลเกินกว่าที่เขาคาดหวังไว้ และเขาไม่ต้องกังวลเรื่องความรู้สึกของนางที่มีต่อเขาอีก มันช่างเป็นวันที่สมบูรณ์แบบ แต่แน่นอนว่ายกเว้นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนท้าย

งูสีขาวตัวนั้นเป็นสัตว์ที่หาได้ยากมาก และเป็นลางร้าย โชคดีที่พวกเขาไม่โดนมันกัด ธอร์ก้มลงมองดูโครห์นที่กำลังเดินอยู่ข้างเขาอย่างจงรักภักดี และมีความสุขเหมือนเช่นเคย พลางสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมันไม่อยู่ที่นั่น ไม่ได้ฆ่าเจ้างูและช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ป่านนี้พวกเขาก็คงจะตายไปแล้วใช่ไหม? เขาจะซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าโครห์นตลอดไป และรู้ว่ามันจะเป็นเพื่อนตายที่ไว้ใจได้

แต่ลางบอกเหตุยังคงรบกวนจิตใจของเขา งูตัวนั้นหาได้ยากยิ่ง และไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตนี้ของอาณาจักร มันอยู่ไกลลงไปทางใต้ ในเขตหนองบึง มันมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร? ทำไมต้องเข้ามาหาพวกเขาในช่วงเวลานั้น? มันลึกลับเกินไปและเขารู้สึกมั่นใจอย่างมากว่ามันเป็นสัญญาณ เหมือนที่เจ้าหญิงเกว็นทรงบอก เขารู้ว่ามันคือลางร้าย เป็นผู้ส่งสารแห่งความตายที่กำลังจะมา แต่ใครกันล่ะ?

ธอร์อยากจะผลักภาพนั้นออกไปจากใจ แล้วลืมมันเสีย ไปคิดเรื่องอื่นแทน แต่เขาทำไม่ได้ มันรบกวนเขา ทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้ เขารู้ว่าเขาควรจะกลับไปยังค่ายทหาร แต่ก็ไปไม่ได้ วันนี้เป็นวันหยุด เขาจึงเดินวนไปตามทางเดินในป่าอยู่หลายชั่วโมง พยายามทำใจให้ปลอดโปร่ง ธอร์แน่ใจว่างูตัวนั้นนำสารมาถึงเขาโดยเฉพาะ ว่าเขาจะต้องทำรีบทำบางอย่าง

เรื่องยิ่งแย่ลงเมื่อเขาต้องแยกจากเจ้าหญิงเกว็นอย่างกะทันหัน เมื่อมาถึงชายป่า พวกเขาจากกันอย่างรวดเร็วโดยแทบจะไม่ได้พูดจากัน เจ้าหญิงดูว้าวุ่นใจ เขาเดาใจว่าเป็นเพราะงูตัวนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจนัก นางไม่ได้ตรัสถึงการพบกันอีก จะทรงเปลี่ยนใจเรื่องเขาหรือไม่? หรือเขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?

ความคิดนั้นทำให้ธอร์เป็นกังวล เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเดินเตร็ดเตร่อยู่หลายชั่วโมง เขาอยากจะคุยกับใครสักคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ คนที่สามารถแปลสัญลักษณ์และลางบอกเหตุได้

ธอร์หยุดเดิน อาร์กอนไงล่ะ เขาเหมาะสมที่สุด เขาต้องสามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ได้ แล้วทำให้ธอร์สบายใจขึ้น

ธอร์มองออกไป เขายังคงยืนอยู่ที่แนวสันเขาที่ไกลที่สุดทางด้านทิศเหนือ จากตรงนี้เขามองเห็นเมืองที่อยู่เบื้องล่าง เขายืนอยู่ใกล้ทางแยก ธอร์รู้ว่าอาร์กอนอาศัยอยู่เพียงลำพังในกระท่อมหินที่ชายแดนด้านทิศเหนือของทุ่งหินใหญ่ เขารู้ว่าหากเขาเลี้ยวไปทางซ้าย มุ่งหน้าออกห่างจากเมือง เส้นทางสายหนึ่งนี้จะพาเขาไปที่นั่น เขาจึงเริ่มออกเดินทาง

มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน และมีโอกาสว่าอาร์กอนจะไม่อยู่ที่นั่นตอนที่ธอร์ไปถึง แต่เขาก็จะลอง เขาหยุดไม่ได้จนกว่าจะได้คำตอบ

ธอร์เปลี่ยนจังหวะก้าวเดิน เขาเดินเร็วขึ้นเป็นสองเท่า มุ่งหน้าไปยังที่ราบนั้น ยามเช้ากลายเป็นยามบ่าย เมื่อเขาเดินและเดินไป มันเป็นวันที่งดงามในฤดูร้อน แสงอาทิตย์ส่องสว่างไสวเหนือทุ่งกว้างรอบตัวเขา

โครห์นกระโดดตามมาอยู่ข้าง ๆ มันหยุดเป็นระยะเพื่อตะครุบกระรอก ซึ่งมันคาบไว้ในปากได้ด้วยชัยชนะ

เส้นทางเริ่มชัน และคดเคี้ยวมากขึ้น ทุ่งหญ้าเริ่มหายไป เหลือเพียงภูมิประเทศรกร้างเต็มไปด้วยหินและก้อนหินใหญ่ ในไม่ช้าเส้นทางก็หายไป อากาศเริ่มเย็นและลมพัดแรงขึ้น ต้นไม้ก็หายไปด้วย ภูมิประเทศเริ่มเป็นหินและชะง่อนหินผา บริเวณช่างน่าขนลุก ไม่มีอะไรนอกจากหินก้อนเล็ก ๆ ดิน และก้อนหินใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา ธอร์รู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปในดินแดนรกร้างว่างเปล่าเมื่อทางเดินหายไปหมด ธอร์พบตัวเองกำลังเดินอยู่บนกรวดและหิน

โครห์นเริ่มส่งเสียงครวญครางอยู่ข้างเขา มีความรู้สึกชวนขนลุกอยู่ในอากาศ ซึ่งธอร์เองก็รู้สึก มันไม่ใช่ความชั่วร้ายและเป็นอีกแบบหนึ่ง เหมือนกับหมอกวิญญาณที่หนาหนัก

เมื่อธอร์เริ่มสงสัยว่าเขามุ่งหน้าไปถูกทางหรือไม่ เขาก็เห็นบางสิ่งที่ขอบฟ้า สูงขึ้นไปเหนือเนินเขา เป็นกระท่อมหินหลังเล็ก มันมีลักษณะกลมเหมือนวงแหวน สร้างจากหินแข็งสีดำและไม่สูงจากพื้นนัก ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูบานเดียว เป็นรูปโค้ง ซึ่งไม่มีที่จับหรือที่เคาะประตู อาร์กอนอาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ ในดินแดนรกร้างว่างเปล่านี่อย่างนั้นหรือ? เขาจัดขัดเคืองหรือไม่ที่ธอร์มาโดยไม่ได้รับเชิญ?

ธอร์เริ่มลังเล และก็บังคับตัวเองให้ยึดมั่นในทางที่เลือก เมื่อเขาเข้าไปใกล้ประตู เขารู้สึกถึงพลังงานในอากาศ มันหนักจนเขาแทบหายใจไม่ออก หัวใจเต็นเร็วขึ้นด้วยความกลัว ขณะที่เขายื่นมือออกไปเพื่อจะเคาะประตูด้วยกำปั้น

ก่อนที่เขาจะได้สัมผัสประตู มันก็เหวี่ยงเปิดออกเอง ข้างในดูมืดสนิท ซึ่งธอร์เองก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพียงสายลมที่พัดมันเปิดออกหรือไม่ มันมืดจนธอร์ไม่คิดว่าใครจะอาศัยอยู่ข้างในนั้นได้

เขายื่นมือไปค่อย ๆ ผลักบานประตู และยื่นหน้าเข้าไป

“สวัสดี?” เขาร้องเรียก

เขาผลักประตูกว้างขึ้น ข้างในช่างมืดมิด มีเพียงแสงเรื่อ ๆ จากอีกด้านของกระท่อม

“สวัสดี?” เขาร้องดังขึ้น “อาร์กอนอยู่ไหม?”

โครห์นส่งเสียงครวญครางอยู่ข้างเขา เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี และอาร์กอนไม่ได้อยู่บ้าน แต่เขาก็ยังบังคับตัวเองให้มองหา เขาก้าวเข้าไปข้างในอีกสองก้าว ตอนนั้นบานประตูก็กระแทกปิดตามหลัง

ธอร์หมุนตัว แล้วตรงนั้นเอง อาร์กอนกำลังยืนอยู่ที่ผนังอีกฟาก

“ข้าขอโทษที่มารบกวนท่าน” ธอร์บอก หัวใจเต้นรัว

“เจ้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ” อาร์กอนบอก

“โปรดอภัยด้วย” ธอร์พูด “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุก”

ธอร์มองไปรอบ ๆ เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด และเห็นเทียนไขหลายเล่ม จุดเป็นวงกลมอยู่รอบผนังหิน แสงสว่างในห้องส่วนใหญ่มาจากลำแสงที่ส่องผ่านช่องกลม ๆ บนหลังคา สถานที่นี้ช่างทรงพลัง เคร่งขรึมและเหมือนความฝัน

“มีน้อยคนมากจะมาที่นี่” อาร์กอนตอบ “แน่นอนว่าเจ้าคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ หากข้าไม่อนุญาต ประตูนั่นเปิดให้เฉพาะคนที่เข้ามาได้ สำหรับคนที่ไม่ต้อนรับ มันจะไม่มีวันเปิดออก ไม่ว่าจะใช้พลังอำนาจใดในโลกนี้”

ธอร์รู้สึกดีขึ้น และยังคงสงสัยว่าอาร์กอนรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังมา ทุกอย่างเกี่ยวกับชายผู้นี้ยังเป็นปริศนาสำหรับเขา

“ข้าพบบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ” ธอร์บอก อยากจะระบายออกมา แล้วฟังความเห็นของอาร์กอน “มีงูตัวหนึ่ง งูหลังขาว มันเกือบจะโจมตีเรา แต่เจ้าโครห์น เสือดาวของข้ามาช่วยไว้”

“เราหรือ?” อาร์กอนถาม

ธอร์หน้าแดง รู้ตัวว่าพูดมากเกินไป เขาไม่รู้จะกล่าวอย่างไรต่อ

“ข้าไม่ได้อยู่ลำพัง” เขาบอก

“แล้วใครกันที่อยู่กับเจ้า?”

ธอร์กัดลิ้นตัวเอง ไม่รู้จะพูดอย่างไร นอกจากนั้นชายผู้นี้ยังเป็นคนสนิทของพระบิดาของนาง บางทีเขาอาจจะไปทูลพระราชา

“ข้าไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเรื่องงู”

“มันเกี่ยวกันทั้งหมด เจ้าไม่สงสัยหรือว่าทำไมเจ้างูนั่นถึงมาตั้งแต่ต้น?”

ธอร์ไม่ทันระวังตัว

“ข้าไม่เข้าใจ” เขาบอก

“ไม่ใช่ทุกลางบอกเหตุจะหมายถึงเจ้า บางครั้งก็หมายถึงคนอื่น”

ธอร์มองสำรวจอาร์กอนในแสงสลัว เริ่มที่จะเข้าใจ เจ้าหญิงเกว็นกำลังพบกับเรื่องชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะหยุดมันได้หรือไม่?

“ท่านเปลี่ยนชะตาได้ไหม?”

อาร์กอนหันหลัง เดินผ่านห้องไปอย่างช้า ๆ

“แน่นอน นั่นเป็นคำถามที่เราถามกันมาหลายศตวรรษแล้ว” อาร์กอนบอก “จะเปลี่ยนชะตาได้ไหม? ในทางหนึ่งก็บอกว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ถูกเขียนไว้แล้ว แต่อีกทางหนึ่งบอกว่าเรามีจิตเสรี ทางเลือกของเราเป็นตัวกำหนดชะตา มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้สำหรับสองสิ่งนี้ โชคชะตาและจิตอิสระ ที่จะอยู่ร่วมกัน เคียงข้างกัน แต่ก็เป็นเช่นนั้น มีจุดที่ทั้งสองอย่างนั้นประสานกัน จุดที่โชคชะตาพบกับจิตอิสระ ที่ซึ่งพฤติกรรมของมนุษย์เข้ามามีบทบาท โชคชะตาไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอไป แต่บางครั้งมันอาจบิดเบือนหรือแม้แต่เปลี่ยนแปลง ด้วยการเสียสละอันยิ่งใหญ่และพลังแห่งจิตอิสระที่แรงกล้า แต่ส่วนใหญ่ โชคชะตานั้นกล้าแข็ง ส่วนใหญ่แล้วเราเป็นได้เพียงผู้สังเกตการณ์ เข้ามาดูมันเป็นไปเท่านั้น เราคิดว่าเรามีส่วนในนั้น แต่จริง ๆ แล้วเราไม่มี เราเป็นเพียงผู้ดู ไม่ใช่ผู้มีส่วนร่วม”

“ถ้าเช่นนั้นจักรวาลให้เราเห็นลางบอกเหตุเพื่ออะไรกัน หากเราไม่สามารถทำอะไรได้?” ธอร์ถาม

อาร์กอนหันมายิ้ม

“เจ้านี่หัวเร็ว เจ้าหนู ข้าจะบอกให้ ส่วนใหญ่เราได้เห็นลางบอกเหตุเพื่อที่จะได้เตรียมตัว เราได้เห็นชะตาเพื่อให้เรามีเวลาเตรียมตัว แต่บางครั้งซึ่งน้อยมาก เราได้เห็นลางบอกเหตุเพื่อให้เราลงมือทำ เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่จะเกิด แต่นั่นเกิดขึ้นได้ยากมาก”

“จริงหรือไม่ที่งูหลังขาวเป็นลางบอกความตาย?”

อาร์กอนมองดูเขา

“ถูกแล้ว” เขาบอกในที่สุด “ไม่มีผิดพลาด”

ธอร์ใจเต้นกับคำตอบ มันยืนยันความกลัวของเขา ธอร์ประหลาดใจกับคำตอบตรงไปตรงมาของอาร์กอน

“ข้าพบมันวันนี้” ธอร์บอก “แต่ข้าไม่รู้ว่าใครกำลังจะตาย หรือข้าจะทำอะไรได้เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ข้าอยากจะเลิกคิดถึงมัน แต่ก็ทำไม่ได้ ภาพหัวงูติดอยู่ในหัวข้าตลอด เพราะอะไรกัน?”

อาร์กอนมองธอร์เนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจ

“เพราะใครก็ตามที่จะตาย มีผลต่อเจ้าโดยตรง มีผลต่อชะตาของเจ้า”

ธอร์ยิ่งรู้สึกกังวล เขารู้สึกว่าทุกคำตอบยิ่งนำไปสู่คำถามมากขึ้น

“แต่นั่นไม่ยุติธรรมเลย” ธอร์บอก “ข้าอยากรู้ว่าใครกันที่จะต้องตาย ข้าอยากจะเตือนพวกเขา!”

อาร์กอนส่ายหน้าช้า ๆ

“มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องรู้” เขาตอบ “และถึงเจ้ารู้ ก็อาจจะไม่มีสิ่งใดที่เจ้าทำได้ ความตายมาหาเหยื่อของมันเอง แม้ผู้นั้นจะได้รับการเตือน”

“ถ้าเช่นนั้นข้าได้เห็นเรื่องนี้เพราะอะไรกัน?” ธอร์ถามปวดร้าว “และทำไมข้าถึงขจัดมันออกไปจากหัวไม่ได้?”

อาร์กอนก้าวเข้ามาใกล้มาก ห่างไปเพียงไม่กี่นิ้ว ความมุ่งมั่นในดวงตาเขาสว่างไสวในความสลัว และมันทำให้ธอร์รู้สึกหวาดกลัว เหมือนกับกำลังจ้องมองดวงอาทิตย์ แต่เขาก็ไม่อาจหันหนีได้ อาร์กอนยกมือขึ้นวางบนบ่าของธอร์ เป็นสัมผัสที่เย็นเฉียบทำให้เขาหนาวสะท้านไปทั้งตัว

“เจ้ายังเด็ก” อาร์กอนบอกช้า ๆ “เจ้ายังต้องเรียนรู้ เจ้ารู้สึกทุกอย่างลึกเกินไป การมองเห็นอนาคตเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นคำสาปมหันต์ด้วย มนุษย์ส่วนมากที่ใช้ชีวิตไปตามชะตาลิขิตไม่เคยรู้เรื่องนี้ บางครั้งสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการได้รู้ชะตาตัวเอง ได้รู้สิ่งที่จะเกิด เจ้ายังไม่เข้าใจพลังของตัวเองด้วยซ้ำ แต่เจ้าจะเข้าใจในวันหนึ่ง เมื่อเจ้าเข้าใจว่าเจ้ามาจากไหน”

“ข้ามาจากที่ไหน?” ธอร์ถามอย่างสับสน

“บ้านของมารดาเจ้า อยู่ไกลจากที่นี่ เลยหุบเขาไป ที่สุดขอบแดนเถื่อน มีปราสาทสูงเสียดฟ้า ตั้งอยู่

โดดเดี่ยวบนหน้าผา และการจะไปที่นั่น เจ้าจะต้องเดินไปตามถนนหินคดเคี้ยว มันเป็นถนนวิเศษ เหมือนทอดขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เป็นสถานที่แห่งพลังที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือที่ที่เจ้าจากมา เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนกว่าเจ้าจะไปที่นั่น และเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ทุกคำถามของเจ้าจะมีคำตอบ”

ธอร์กระพริบตา เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่นอกกระท่อมของอาร์กอนด้วยความประหลาดใจ เขาไม่รู้เลยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

สายลมพัดผ่านชะง่อนหิน ธอร์ต้องหรี่ตาเพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์ โครห์นร้องครางอยู่ข้าง ๆ เขา

ธอร์เดินไปที่ประตูของอาร์กอนแล้วกระแทกด้วยพละกำลังที่มี แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากความเงียบ

 

“อาร์กอน!” ธอร์ตะโกน

มีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวตอบมา

เขาพยายามเปิดประตู โดยใช้ไหล่กระแทก แต่ก็ไม่ขยับ

ธอร์รออยู่นาน เขาไม่รู้ว่านานเท่าไร จนกระทั่งวันเริ่มบ่ายคล้อย ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเวลาของเขาที่นี่หมดลงแล้ว

เขาหันหลังและเริ่มเดินกลับไปตามทางลาดหินพลางสงสัย เขารู้สึกสับสนกว่าที่เคย และยังรู้สึกแน่ใจว่าความตายกำลังจะมา แต่ไม่มีหนทางที่จะหยุดมันได้

ขณะที่เขาปีนป่ายไปในความรกร้าง เขาเริ่มรู้สึกเย็นที่ข้อเท้า และเห็นหมอกหนาเริ่มก่อตัว มันเริ่มหนาขึ้นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ ธอร์ไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เจ้าโครห์นส่งเสียงร้อง

เขาพยายามเร่งฝีเท้าไปตามทางลงจากเขา แต่ในไม่ช้าหมอกก็เริ่มหนามาก จนเขาแทบมองไม่เห็นอะไรตรงหน้า ขณะเดียวกันเขารู้สึกว่าแขนขาเริ่มหนัก และแล้วท้องฟ้าก็มืดลงราวกับเกิดขึ้นด้วยเวทมนตร์ เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถก้าวเดินได้อีก และทรุดลงกองอยู่บนพื้นตรงที่ที่เขายืน โอบล้อมไปด้วยหมอกหนา ธอร์พยายามลืมตา พยายามขยับ แต่ก็ทำไม่ได้ ในไม่ช้าเขาก็หลับไป

*

ธอร์พบตัวเองยืนอยู่บนยอดเขา กำลังมองดูอาณาจักรวงแหวนทั้งหมด ตรงหน้าเขาคือราชสำนักของพระราชา ปราสาท ป้อมปราการ อุทยาท ป่าไม้และเนินเขาโค้งไกลสุดลูกหูลูกตา ทั้งหมดอยู่ในฤดูร้อนที่กำลังเบ่งบาน ท้องทุ่งเต็มไปด้วยผลไม้และดอกไม้หลากสีสัน มีเสียงดนตรีและการเฉลิมฉลอง

แต่เมื่อธอร์หันไปอย่างช้า ๆ มองสำรวจทุกสิ่ง พื้นหญ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลไม้ร่วงหล่นจากต้น ป่าไม้เหี่ยวแห้งลงจนสลายไป ดอกไม้แห้งกรอบ ขณะที่เขาหวาดหลัว บ้านเรือนก็เริ่มถล่มลงทีละหลัง จนกระทั่งทั้งอาณาจักรไม่หลงเหลือสิ่งใด นอกจากความรกร้างว่างเปล่า กองอิฐและหิน

ธอร์มองลงไปและทันใดนั้น เขาก็เห็นงูหลังขาวตัวใหญ่เลื้อยผ่านเท้าของเขา เขายืนนิ่งอย่างหมดหนทาง ขณะที่มันพันเลื้อยขึ้นมารอบขา จนถึงเอว และแขน เขารู้สึกหายใจไม่ออก ชีวิตกำลังถูกรัดให้หลุดลอยไป ขณะที่งูเลื้อยพันเขาไว้จนหมดแล้วจ้องหน้าเขา ห่างไปเพียงไม่กี่นิ้ว ส่งเสียงขู่ฟ่อ ลิ้นยาวของมันแทบจะสัมผัสแก้มของธอร์ แล้วมันก็อ้าปากออกกว้าง เห็นเขี้ยวใหญ่ยื่นมาข้างหน้า และกลืนหน้าธอร์

ธอร์กรีดร้องแล้วพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่เพียงลำพังในปราสาทของพระราชา ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีบัลลังก์ที่เคยตั้งอยู่ ดาบแห่งโชคชะตาวางอยู่บนพื้น ไม่ถูกแตะต้อง หน้าต่างแตกกระจาย กระจกสีกองอยู่บนกองหิน เขาได้ยินเสียงดนตรีดังอยู่ไกล ๆ จึงหันไปตามเสียง และเดินผ่านห้องที่ว่างเปล่าห้องแล้วห้องเล่า จนในที่สุดเขาก็ไปถึงประตูคู่ขนาดใหญ่ สูงหนึ่งร้อยฟุต และเปิดมันออกด้วยกำลังของเขา

ธอร์ยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องจัดเลี้ยง ตรงหน้าเขาคือโต๊ะอาหารสองตัวยาวไปจนถึงอีกด้านของห้อง มีอาหารวางอยู่มากมาย แต่ไร้ผู้คน ที่อีกด้านของห้องมีชายคนหนึ่ง พระราชาแม็คกิลประทับอยู่บนบัลลังก์ กำลังทอดพระเนตรมาที่ธอร์ พระองค์ดูเหมือนอยู่ไกลมาก

ธอร์รู้สึกว่าเขาจะต้องไปหาพระราชา จึงออกเดินข้ามห้องไป ระหว่างโต๊ะอาหารสองตัว เมื่อเขาเดินผ่านไป อาหารบนโต๊ะทั้งสองฝั่งก็เริ่มเน่าเสีย ทุกย่างก้าวที่เขาเดินไป อาหารกลายเป็นสีดำมีแมลงวันรุมตอม แมลงวันบินหึ่งอยู่รอบตัวเขา ฉีกทึ้งอาหาร

ธอร์เดินเร็วขึ้น เริ่มเข้าใกล้พระราชามากขึ้น ห่างไม่เกินสิบฟุต เมื่อมหาดเล็กปรากฏตัวขึ้นจากห้องด้านข้าง เชิญแก้วไวน์ทองคำใบใหญ่มาถวาย เป็นแก้วเสวยที่มีลักษณะเฉพาะ ทำจากทองคำแท้ประดับด้วยทับทิมและไพลิน ขณะที่พระราชาไม่ได้ทอดพระเนตร ธอร์เห็นมหาดเล็กแอบใส่ผงสีขาวลงไปในแก้วเสวย ธอร์รู้ว่ามันคือยาพิษ

มหาดเล็กเชิญแก้วไปถวาย ราชาแม็คกิลทรงเอื้อมมือมาหยิบไว้ด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง

“ไม่!” ธอร์ตะโกน

เขาพุ่งไปข้างหน้า พยายามจะปัดแก้วให้ห่างจากพระราชา

แต่เขายังเร็วไม่พอ ราชาแม็คกิลทรงดื่มไวน์อึกใหญ่ ไวน์ไหลลงบนแก้มและหน้าอก เมื่อทรงดื่มจนหมด

ราชาแม็คกิลทรงหันมาหาธอร์ พระเนตรเบิกกว้าง ยกพระหัตถ์ขึ้นกุมพระศอ ทรงสำลักและทรุดร่วงลงจากบัลลังก์ เอียงลงไปกระแทกพื้นหินแข็ง มงกุฎหลุดกระเด็น หล่นกระทบพื้นเสียงดัง แล้วกลิ้งไปหลายฟุต

พระราชาประทับนิ่งอยู่ตรงนั้น พระเนตรเบิกโพลง สิ้นพระชนม์

เอสโตฟีลีสบินโฉบลงมา เกาะที่พระเศียรของราชาแม็คกิล มันนั่งอยู่อย่างนั้นมองตรงมาที่ธอร์ และส่งเสียงร้อง เป็นเสียงโหยหวนที่ทำให้ธอร์เย็นสันหลังวาบ

“ไม่” ธอร์กรีดร้อง

*

ธอร์ตื่นขึ้นพลางตะโกน

เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบ ๆ เหงื่อชุ่มพลางหอบหายใจแรง พยายามคิดว่าเขาอยู่ที่ไหน เขายังนอนอยู่บนพื้น บนภูเขาของอาร์กอน เขาคงจะเผลอหลับไป หมอกหายไปแล้ว เมื่อเขาลุกขึ้นก็เห็นว่าเป็นเวลาฟ้าสาง ดวงอาทิตย์สีแดงเหมือนเลือดกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า นำความสว่างมาให้เวลากลางวัน โครห์นร้องครวญครางอยู่ข้างตัวเขา กระโดดขึ้นมาอยู่บนตัก แล้วเลียใบหน้าของธอร์

เขากอดมันไว้ด้วยมือหนึ่งขณะที่ยังหอบหายใจ พยายามคิดว่าเขากำลังหลับหรือตื่น เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่านั่นเป็นเพียงความฝัน ซึ่งเหมือนจริงอย่างมาก

ธอร์ได้ยินเสียงร้องแหลม และหันไปเห็นเอสโตฟีลีสเกาะอยู่บนก้อนหินห่างไปเพียงหนึ่งฟุต เจ้านกตัวใหญ่มองเขาและส่งเสียงร้องครั้งแล้วครั้งเล่า

เสียงของมันทำให้ธอร์เย็นสันหลังวาบ มันเหมือนกับเสียงร้องในความฝันของเขา และตอนนั้นเองที่เขารู้ด้วยทุกอณูในร่างกาย ว่าความฝันนั้นเป็นสารบอกเหตุ

พระราชากำลังจะถูกวางยาพิษ

ธอร์กระโดดลุกขึ้นยืน แล้วรีบวิ่งลงเนินเขา กลับไปยังราชสำนักในยามฟ้าสาง เขาจะต้องไปเฝ้าพระราชาและเตือนพระองค์ พระราชาอาจจะทรงคิดว่าเขาเป็นบ้า แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาจะทำทุกสิ่งเพื่อช่วยชีวิตพระองค์ไว้

*

ธอร์วิ่งผ่านสะพานยก พุ่งผ่านประตูชั้นนอกเพื่อไปยังตัวปราสาท โชคดีที่ทหารยามสองนายจำเขาได้จากกองทหารยุวชน พวกเขาปล่อยให้ธอร์ผ่านเข้าไปโดยไม่ห้าม เขาวิ่งต่อไปโดยมีโครห์นวิ่งตามมาด้วย

ธอร์วิ่งเร็วจี๋ผ่านสนาม ผ่านน้ำพุ และวิ่งตรงเข้าไปยังประตูชั้นในของปราสาท มีทหารยามสี่นายขวางทางอยู่

ธอร์หยุด หอบหายใจ

“เจ้ามีธุระอะไร เจ้าหนู?” ทหารยามนายหนึ่งถามขึ้น

“ท่านไม่เข้าใจ ท่านต้องให้ข้าเข้าไป” ธอร์หอบ “ข้าต้องเข้าเฝ้าพระราชา”

ทหารมองหน้ากันอย่างสงสัย

“ข้าคือธอร์กริน ทหารยุวชนของพระราชา ท่านต้องให้ข้าผ่านเข้าไป”

“ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร” ทหารนายหนึ่งบอกอีกคน “เขาเป็นพวกเรา”

แต่หัวหน้าทหารยามก้าวเข้ามา

“เจ้ามีธุระอะไรกับพระราชา?” เขาถาม

ธอร์ยังคงพยายามหายใจ

“ธุระเร่งด่วนมาก ข้าต้องเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้”

“ข้าว่าพระองค์ไม่ได้ทรงรอเจ้าอยู่ เพราะเจ้าอาจจะได้รับข้อมูลผิด พระราชาไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงเสด็จออกไปทำพระราชกิจพร้อมขบวนหลวงเมื่อหลายชั่วโมงมาแล้ว และคงจะยังไม่กลับมาจนกว่าจะกลางคืน ตอนงานเลี้ยงพระราชทาน”

“งานเลี้ยง?” ธอร์ถาม หัวใจเต้นแรง เขานึกถึงความฝัน โต๊ะอาหารและความรู้สึกน่ากลัวกำลังกลับมาอีก

“ใช่ งานเลี้ยง ถ้าเจ้าอยู่ในกองทหารยุวชน ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะได้เข้าร่วม แต่ตอนนี้พระราชาไม่อยู่ ไม่มีทางที่เจ้าจะเข้าเฝ้าได้ กลับมาใหม่คืนนี้พร้อมกับคนอื่น ๆ”

“แต่ข้าต้องแจ้งข่าวแก่พระองค์” ธอร์ยืนกราน “ก่อนงานเลี้ยง!”

“เจ้าฝากไว้กับข้าก็ได้ถ้าต้องการ แต่ข้าเองก็คงจะนำถวายได้ไม่เร็วไปกว่าเจ้าหรอก”

ธอร์ไม่อยากจะฝากข้อความเรื่องนั้นไว้กับทหารยาม เขารู้ว่ามันดูบ้า เขาจะต้องบอกด้วยตัวเขาเองในคืนนี้ ก่อนงานเลี้ยง เขาได้แต่ภาวนาว่าจะไม่สายเกินไป

บทที่ 27

ธอร์รีบกลับไปที่ค่ายทหารยุวชน เมื่อตอนฟ้าสาง โชคดีที่ไปถึงก่อนที่การฝึกฝนประจำวันจะเริ่มต้นขึ้น เขาหอบหายใจเมื่อไปถึง โดยมีเจ้าโครห์นอยู่ข้างตัว เขาวิ่งเข้าไปตอนที่คนอื่น ๆ กำลังตื่นนอน เริ่มเดินแถวออกไปทำภารกิจประจำวัน เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางหอบหายใจ ยากลำบากยิ่งกว่าเคย เขาแทบไม่รู้เลยว่าจะผ่านการฝึกของวันนี้ไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาเฝ้านับเวลาให้ถึงงานเลี้ยงในคืนนี้ เพื่อที่เขาจะได้เตือนพระราชา เขามั่นใจว่าลางบอกเหตุมาหาเขาเพื่อให้เขาส่งคำเตือน ชะตาของอาณาจักรแบกอยู่บนบ่าของเขาแล้ว

ธอร์วิ่งไปหาเจ้าชายรีสและโอคอนเนอร์ขณะที่พวกเขากำลังออกไปที่สนาม ดูเหน็ดเหนื่อย และเริ่มเข้าแถว

“เจ้าไปไหนมาเมื่อคืนนี้?” เจ้าชายตรัสถาม

ธอร์ไม่รู้จะทูลตอบอย่างไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนมา เขาควรจะทูลว่าอย่างไร? ว่าเขานอนหลับไปกลางทุ่งข้างนอกนั่น บนภูเขาของอาร์กอนอย่างนั้นหรือ? มันไม่มีเหตุผลเอาเลย แม้แต่กับตัวเขาเอง

“ข้าไม่รู้” เขาทูลบอก ไม่รู้จะบอกอย่างไรอีก

“หมายความว่าอย่างไร ที่ว่าเจ้าไม่รู้?” โอคอนเนอร์ถาม

“ข้าหลงทาง” ธอร์บอก

“หลงทาง?”

“เอาล่ะ เจ้าโชคดีแล้วที่กลับมาได้” เจ้าชายรีสตรัส

“ถ้าเจ้ามาฝึกภารกิจประจำวันสาย พวกเขาคงจะไม่ให้เจ้ากลับเข้ามาในกองยุวชนอีก” เอลเด็นบอก ขณะที่เดินเข้ามายืนข้าง ๆ พวกเขา พลางใช้มือหนาตบบ่าธอร์ “ดีใจที่ได้เห็นเจ้า เจ้าพลาดไปเมื่อวานนี้”

ธอร์ยังคงประหลาดใจกับท่าทีที่แปลกไปของเอลเด็น นับตั้งแต่ตอนที่อยู่อีกฟากของหุบเขา

“ไปเจอพี่สาวข้ามาเป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าชายทรงกระซิบถาม

ธอร์หน้าแดง ไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร

“เจ้าไปพบนางหรือเปล่า?” เจ้าชายตรัสถาม

“ข้าไป” เขาบอก “เรามีความสุขด้วยกัน แม้จะต้องแยกกันอย่างกะทันหันก็เถอะ”

“นี่” เจ้าชายตรัสต่อ ขณะที่ทุกคนเข้าแถวเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหน้าคอล์คและทหารนายอื่น ๆ “เจ้าจะได้เจอนางอีกคืนนี้ แต่งชุดหล่อของเจ้าไป คืนนี้มีงานเลี้ยงของพระราชา”

ธอร์รู้สึกวูบหวิวในท้อง เขาคิดถึงความฝันและรู้สึกเหมือนกับโชคชะตากำลังเต้นรำอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกอับจนหนทาง และถูกกำหนดให้ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งดูมันดำเนินไป

“เงียบ!” คอล์คตะโกนขึ้น ขณะเริ่มเดินตรงหน้ากลุ่มเด็กหนุ่ม

ธอร์ตัวแข็งเหมือนกับคนอื่น ๆ ขณะที่เงียบเสียงลง

คอล์คเดินช้า ๆ ไปตามแถว สำรวจทุกคน

“เมื่อวานเจ้ามีความสุขกันแล้ว ตอนนี้กลับมาฝึกกันต่อ วันนี้พวกเขาจะได้เรียนศิลปะโบราณของการขุดคันดิน”

มีเสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่เด็กหนุ่ม

“เงียบ!” เขาตะโกน

ทั้งกลุ่มเงียบลง

“การขุดคันดินเป็นงานที่หนัก” คอล์คพูดต่อ “แต่ก็เป็นงานที่สำคัญ วันหนึ่งเจ้าจะพบตัวเองอยู่ในป่าข้างนอกนั่น กำลังปกป้องอาณาจักร โดยไม่มีใครช่วย อากาศหนาวยะเยือก หนาวจนเจ้าไม่รู้สึกถึงนิ้วเท้า ในความมืดมิดของราตรีกาล เจ้าต้องทำอะไรก็ได้เพื่อให้อบอุ่น หรือเจ้าอาจจะอยู่ในสนามรบ และต้องการหาที่กำบังให้ปลอดภัยจากลูกธนูของศัตรู มีล้านเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงต้องขุดคันดิน และคันดินอาจจะเป็นเพื่อนแท้ของพวกเจ้า

“วันนี้” เขากระแอมก่อนจะพูดต่อ “เจ้าจะต้องขุดกันทั้งวัน จนกว่ามือจะแดงเพราะหนังด้าน และขุดกันจนหลังหัก จนเจ้าขุดต่อไม่ไหวอีกแล้ว ถึงตอนนั้น วันเวลาในสนามรบจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

“ตามข้ามา!” คอล์คตะโกน

มีเสียงครางอย่างผิดหวังดังขึ้นอีก เมื่อพวกเด็กหนุ่มเริ่มแตกเป็นสองแถวและเดินตามคอล์คตัดสนามไป

“เยี่ยม” เอลเด็นบอก “ขุดคันดิน ช่างเป็นสิ่งที่ข้าอยากจะทำในวันนี้จริง ๆ”

“อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้” โอคอนเนอร์บอก “อาจจะมีฝนตก”

พวกเขาเงยหน้ามองฟ้า และธอร์มองเห็นเมฆดำน่ากลัวอยู่เหนือศีรษะ

“แค่อาจจะ” เจ้าชายรีสตรัส “อย่าพูดเป็นลาง”

“ธอร์!” มีเสียงตะโกนดังขึ้น

ธอร์หันไปเห็นคอล์คกำลังจ้องมาที่เขาอยู่ทางด้านข้าง ธอร์วิ่งเข้าไปหาพลางสงสัยว่าเขาทำอะไรผิด

“ครับ ใต้เท้า”

“อัศวินของเจ้าต้องการพบ” เขาบอกห้วน ๆ “ไปรายงานตัวกับอีเร็คที่สนามหน้าปราสาท เจ้าโชคดี วันนี้เจ้าได้หยุด แต่ต้องไปรับใช้อัศวินแทน เช่นที่เด็กติดตามทุกคนควรทำ แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะรอดจากการขุดคันดินนะ เมื่อเจ้ากลับมาพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องขุดด้วยตัวเองคนเดียว ไปได้แล้ว!” เขาตะโกน

ธอร์หันไปเห็นสายตาอิจฉาของคนอื่น แล้วจึงวิ่งออกจากสนาม มุ่งหน้าไปยังปราสาท อีเร็คต้องการอะไรจากเขา? มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชาไหมนะ?

*

ธอร์วิ่งเข้าไปในเขตราชสำนัก แล้วไปตามทางที่ไม่เคยไปมาก่อน มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารของกองรบเงิน ค่ายของพวกเขาใหญ่โตโอ่โถงกว่าค่ายของกองทหารยุวชนมาก อาคารของพวกเขาใหญ่กว่าสองเท่า เดินเส้นด้วยทองแดง ทางเดินของพวกเขาปูด้วยหินใหม่ การจะไปที่นั่น ธอร์จะต้องผ่านประตูหินโค้งขนาดใหญ่ที่มีทหารหลายสิบนายเฝ้าอยู่ ทางเดินนั้นกว้าง ทอดยาวผ่านสนามโล่งกว้าง และสิ้นสุดที่หมู่อาคารหินที่มีรั้วรอบล้อม และมีอัศวินเฝ้าอยู่อีกหลายสิบนาย เป็นภาพที่น่าประทับใจ แม้จะมองจากตรงนี้

ธอร์วิ่งไปตามทาง เห็นได้ชัดเจนในสนามโล่ง เหล่าอัศวินเตรียมรับการมาของเขา แม้เขาจะยังไปไม่ถึง โดยก้าวออกมาและลดทวนลงขวาง มองตรงไปข้างหน้า ไม่สนใจเขาขณะที่ปิดทางไว้

“เจ้ามีธุระอะไรที่นี่?” อัศวินคนหนึ่งถามขึ้น

“ข้ามารายงานตัว” ธอร์บอก “ข้าเป็นเด็กติดตามของอีเร็ค”

อัศวินมองสบตากันอย่างระวัง แต่อัศวินอีกคนก้าวออกมาแล้วพยักหน้า พวกเขาจึงถอยหลังให้ ลดอาวุธลง และเปิดประตูช้า ๆ เหล็กแหลมค่อย ๆ ยกสูงขึ้น ส่งเสียงเอี้ยดอ้าด ประตูขนาดมหึมา หนาอย่างน้อยสองฟุต ธอร์คิดว่าที่นี่ป้องกันแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ปราสาทของพระราชาเสียอีก

“อาคารที่สองทางขวา” อัศวินตะโกนบอก “เจ้าจะพบเขาที่คอกม้า”

ธอร์รีบวิ่งไปตามทางผ่านสนาม ผ่านหมู่อาคาร โดยชื่นชมภาพที่เห็น ทุกสิ่งที่นี่ดูเป็นประกาย สะอาดเอี่ยมอ่อง ได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งค่ายดูจะอาบไปด้วยรัศมีแห่งพลัง

ธอร์พบอาคารหลังนั้นและต้องประหลาดใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ม้าที่สวยงามและตัวใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นถูกผูกไว้เป็นแถวด้านนอกอาคารอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่มีเกราะสวมอยู่ที่ลำตัว พวกม้าก็เปล่งประกาย ทุกอย่างที่นี่ดูใหญ่โตกว่าและโอ่อ่ากว่า

มีอัศวินจริง ๆ เดินไปมา ถืออาวุธหลากหลายชนิด ทั้งกำลังเดินผ่านสนามเข้ามาและกำลังเดินออกจากประตูต่าง ๆ เป็นสถานที่ที่วุ่นวาย ธอร์รู้สึกถึงการต่อสู้ ที่นี่ ไม่ใช่สถานที่สำหรับฝึกแต่สำหรับสงคราม ความเป็นและความตาย

ธอร์ผ่านประตูโค้งเล็ก ๆ ไปตามทางเดินลาดหินมืด ๆ ผ่านคอกม้าคอกแล้วคอกเล่า มองหาอีเร็ค จนไปถึงปลายสุด แต่เขาก็ไม่พบ

“เจ้ามองหาอีเร็คใช่ไหม?” ทหารยามถาม

ธอร์หันไปพยักหน้า

“ใช่ครับ ท่าน ข้าเป็นเด็กติดตามของเขา”

“เจ้ามาช้า เขาออกไปด้านนอกแล้ว กำลังเตรียมม้า รีบไปเร็วเข้า”

ธอร์วิ่งไปตามทางเดิน พุ่งออกจากคอกม้าไปที่สนามโล่งกว้าง อีเร็คกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ ม้าพันธุ์ดีตัวมหึมา ลำตัวสีดำเป็นประกายแต่มีจมูกสีขาว ม้าทำเสียงฟืดฟาดเมื่อธอร์เข้าไปใกล้ และอีเร็คหันมาหา

“ข้าขอโทษ ใต้เท้า” ธอร์บอก พลางหอบหายใจ “ข้ามาเร็วที่สุดแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสายเลย”

 

“เจ้ามาทันเวลาพอดี” อีเร็คบอกพลางยิ้มให้อย่างปราณี “ธอร์ รู้จักกับลานนินสิ” เขาบอก ชี้ไปที่ม้า

ลานนินพ่นลมฟืดฟาดและขยับตัวกุบกับราวกับตอบรับ ธอร์ก้าวเข้าไปและเอื้อมมือไปลูบจมูกมัน ม้าส่งเสียงครางเบา ๆ ตอบมา

“มันเป็นม้าสำหรับเดินทางของข้า อัศวินที่มีตำแหน่งจะมีม้าหลายตัว ซึ่งเจ้าจะได้เรียนรู้ต่อไป ตัวหนึ่งสำหรับการประลอง ตัวหนึ่งสำหรับการศึก และอีกตัวสำหรับการเดินทางไกลตามลำพัง นี่คือตัวที่เจ้าจะต้องทำความสนิทสนมคุ้นเคยด้วย มันชอบเจ้า นั่นเป็นเรื่องดี”

ลานนินก้าวมาข้างหน้าแล้วใช้จมูกดุนฝ่ามือของธอร์ เขารู้สึกตื้นต้นกับสิ่งมีชีวิตที่สง่างามเช่นนี้ เขาเห็นความเฉลียวฉลาดเป็นประกายอยู่ในดวงตาของมัน ช่างน่าประหลาด เขารู้สึกราวกับว่าม้าตัวนี้เข้าใจทุกสิ่ง

แต่บางสิ่งที่อีเร็คพูดทำให้ธอร์สับสน

“ท่านพูดว่าการเดินทางหรือ ใต้เท้า?” เขาถามอย่างประหลาดใจ

อีเร็คหยุดรัดสายอานม้า หันมามองเขา

“วันนี้เป็นวันเกิดข้า ข้าอายุยี่สิบห้าปีแล้ว มันเป็นวันพิเศษ เจ้ารู้เรื่องวันเลือกคู่ไหม?”

ธอร์ส่ายหน้า “น้อยมาก ใต้เท้า เป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นเล่าให้ฟัง”

“พวกเราอัศวินของอาณาจักรวงแหวนจะต้องสืบทอดกันต่อไป รุ่นแล้วรุ่นเล่า” อีเร็คเริ่มเล่า “เรามีเวลาเลือกเจ้าสาวจนถึงอายุยี่สิบห้าปี หากใครยังเลือกไม่ได้จนถึงตอนนั้น กฎหมายกำหนดให้เราจะต้องหาเจ้าสาวให้ได้ โดยเรามีเวลาหนึ่งปีที่จะหานาง และพานางกลับมา ถ้าเรากลับมาโดยไม่มีเจ้าสาว พระราชาจะทรงเป็นผู้เลือกเจ้าสาวให้เรา เราจะหมดสิทธิ์ที่จะเลือก ดังนั้น วันนี้ข้าจะต้องออกเดินทางไปตามหาเจ้าสาว”

ธอร์จ้องค้าง พูดไม่ออก

“แต่ใต้เท้า ท่านจะจากไป? ถึงหนึ่งปีเชียวหรือ?”

ธอร์ใจหายวาบเมื่อคิดถึงมัน เขารู้สึกว่าโลกถล่มลงรอบตัวเขา เขาไม่เคยรู้เลยจนถึงตอนนี้ว่าเขาชอบอีเร็คมากเพียงใด ในบางทีเขาเหมือนเป็นบิดาสำหรับธอร์ แน่นอนว่าเป็นยิ่งกว่าบิดาที่เขาเคยมี

“แล้วข้าจะเป็นเด็กติดตามให้ใครกันล่ะ?” ธอร์ถาม “แล้วท่านจะไปที่ไหน?”

ธอร์หวนคิดว่าอีเร็คได้ช่วยเหลือเขามามากเพียงใด และเคยได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ใจธอร์ห่อเหี่ยวเมื่อคิดว่าเขากำลังจะจากไป

อีเร็คหัวเราะอย่างร่าเริง

“ข้าควรจะตอบคำถามไหนก่อนดี” เขาถาม “ไม่ต้องห่วงไปหรอก เจ้าได้รับมอบหมายให้ติดตามอัศวินคนใหม่ เจ้าต้องรับใช้เขาจนกว่าข้าจะกลับมา เจ้าชายเคนดริค โอรสองค์โตของพระราชา”

ธอร์ใจชื้นขึ้นเมื่อได้ยิน เขารู้สึกผูกพันกับเจ้าชายเคนดริคมากพอ ๆ กัน แล้วพระองค์ยังเป็นคนแรกที่มองเห็นเขาและให้โอกาสเขาได้เข้ามาในกองทหารยุวชน

“ส่วนเรื่องการเดินทางของข้า...”อีเร็คพูดต่อ “...ข้ายังไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าจะมุ่งหน้าไปทางใต้ ไปยังอาณาจักรที่ข้าจากมา และค้นหาเจ้าสาวในทิศทางนั้น ถ้าข้ายังไม่พบใครในอาณาจักรวงแหวน ข้าอาจจะข้ามทะเลไปยังอาณาจักรของข้าเพื่อหาเจ้าสาวที่นั่นก็ได้”

“อาณาจักรของท่านหรือ ใต้เท้า?” ธอร์ถาม

ธอร์รู้ตัวว่าเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอีเร็คมากนัก เช่นว่าเขามาจากที่ใด เขาสรุปเอาเองว่าอีเร็คน่าจะมาจากที่ไหนสักแห่งในอาณาจักรวงแหวน

อีเร็คยิ้ม “ใช่ ไกลจากที่นี่มาก ข้ามทะเลไป แต่นั่นเป็นอีกเรื่องที่ไว้เล่าโอกาสหน้า มันจะเป็นการเดินทางที่ยาวไกล และยาวนาน ข้าจะต้องเตรียมพร้อม ช่วยข้าได้แล้ว เวลามีน้อย ผูกอานม้าให้ข้าที แล้วจัดอาวุธทุกชนิดให้พร้อม”

ธอร์หัวหมุนเมื่อเริ่มลงมือ เขาวิ่งไปยังคลังแสงของม้าและหยิบเกราะสีเงินและดำเฉพาะของลานนินมา เขาวิ่งถือมาทีละชิ้น เริ่มจากวางเกราะห่วงโซ่ลงบนหลังม้า เขาเอื้อมขึ้นไปคลุมเกราะลงบนลำตัวใหญ่โตของมัน จากนั้นจึงติดกระบังหน้า แผ่นโลหะบางสำหรับหัวม้า

ลานนินส่งเสียงร้องเบา ๆ เมื่อธอร์ทำเช่นนั้น แต่ดูว่ามันจะพอใจ มันเป็นม้ามีตระกูล เป็นนักรบ ธอร์บอกได้และดูมันจะรู้สึกสบายกับชุดเกราะเหมือนเช่นอัศวิน

ธอร์วิ่งกลับไปหยิบเดือยส้นรองเท้าสีทองของอีเร็ค และช่วยเขาติดมันเข้ากับรองเท้าแต่ละข้าง เมื่ออีเร็คขึ้นนั่งบนหลังม้าแล้ว

“ท่านต้องการอาวุธอะไรบ้าง ใต้เท้า?” ธอร์ถาม

อีเร็คมองลงมอง เขาดูตัวใหญ่มากเมื่อมองจากมุมนี้

“มันยากที่คาดการณ์ล่วงหน้าว่าข้าจะเจอการต่อสู้แบบไหนตลอดหนึ่งปีนี้ แต่ข้าอยากล่าสัตว์และป้องกันตัวเองด้วย เช่นนั้นแน่นอนว่าข้าต้องการดาบยาว และต้องใช้ดาบสั้นด้วย คันธนู กระบอกลูกศร หอกสั้น กระบอง มีดสั้น และโล่ ข้าว่าเท่านั้นคงพอ”

“ครับ ใต้เท้า” ธอร์บอกแล้ววิ่งออกไปยังชั้นวางอาวุธของอีเร็ค ด้านข้างคอกของลานนิน แล้วมองดูอาวุธนับสิบชนิด เป็นคลังแสงที่น่าประทับใจ ให้เลือกใช้

เขาหยิบอาวุธที่อีเร็คต้องการอย่างระวัง แล้วนำกลับไปทีละชิ้น ยื่นส่งให้อีเร็คหรือเสียบเข้ากับอานม้าให้แน่นหนา

เมื่ออีเร็คนั่งบนหลังม้า พลางกระชับถุงมือหนังให้แน่น เตรียมพร้อมจะออกเดินทาง ธอร์ไม่อาจทนมองเขาจากไปได้

“ใต้เท้า ข้ารู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องเดินทางไปเป็นเพื่อนท่าน” ธอร์บอก “อย่างไรเสียข้าก็เป็นเด็กติดตามของท่าน”

อีเร็คส่ายหน้า

“มันเป็นการเดินทางที่ข้าต้องไปคนเดียว”

“ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยขอให้ข้าได้ไปกับท่านจนถึงทางแยกแรกได้ไหม?” ธอร์ขอร้อง “ถ้าท่านจะมุ่งหน้าลงใต้ ถนนพวกนั้นข้ารู้จักดี ข้ามาจากทางใต้”

อีเร็คมองลงมาอย่างพิจารณา

“ถ้าเจ้าอยากจะไปด้วยจนถึงทางแยกแรก ข้าก็ไม่เห็นว่าเสียหายอะไร แต่มันจะเป็นการขี่ม้าทั้งวันที่หนัก ดังนั้นเราควรจะออกเดินทางได้แล้ว ใช้ม้าของเด็กติดตาม มันอยู่ที่ด้านหลังคอกม้า ตัวสีน้ำตาลที่มีแผงคอสีแดง”

ธอร์วิ่งกลับไปที่คอกม้าและพบม้าตัวนั้น เมื่อเขาขึ้นขี่ โครห์นก็โผล่หัวออกมาจากเสื้อของเขา เงยหน้ามองและส่งเสียงร้อง

“ไม่เป็นไร โครห์น” ธอร์ปลอบใจ

เขาชะโงกไปข้างหน้า แล้วกระตุ้นม้าให้พุ่งออกจากคอก อีเร็คแทบจะไม่รอให้เขาตามทัน เมื่อเขากับลานนินควบทะยานออกไป ธอร์รีบตามไปอย่างเร็วที่สุด

พวกเขาควบม้าผ่านเขตราชสำนัก ไปยังประตู ซึ่งทหารยามหลายคนดึงเปิดให้ แล้วยืนรออยู่ด้านข้าง อัศวินกองรบเงินหลายคนเข้าแถวกันมองดูและรอคอย เมื่ออีเร็คควบม้าผ่านไป พวกเขาก็ชูกำปั้นขึ้นแสดงความเคารพ

ธอร์ภูมิใจที่ได้ขี่ม้าเคียงข้างเขา ได้เป็นเด็กติดตามของเขา และตื่นเต้นที่ได้ไปด้วย แม้จะเพียงแค่ทางแยกแรกก็ตาม

มีหลายสิ่งที่ธอร์อยากจะบอกกับอีเร็ค หลายสิ่งที่อยากจะถาม และหลายอย่างที่ต้องขอบคุณ แต่ไม่มีเวลา เมื่อทั้งสองควบม้าลงใต้ พุ่งทะยานผ่านทุ่งโล่งไป ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเมื่อพวกเขาทะยานไปตามถนนหลวงภายใต้ดวงอาทิตย์ยามสาย เมื่อทั้งสองผ่านเนินเขา ธอร์มองเห็นกองทหารยุวชนอยู่ในสนาม กำลังขุดดินกันจนหลังหัก ธอร์ดีใจที่เขาไม่ต้องอยู่กับพวกนั้น เมื่อมองไปเขาเห็นคนหนึ่งหยุดและชูกำปั้นมาทางพวกเขา มันยากที่จะมองออกในแสงอาทิตย์ แต่ธอร์มั่นใจว่าเป็นเจ้าชายรีสกำลังแสดงความเคารพ ธอร์ชูกำปั้นตอบขณะที่ควบม้าผ่านไป

ถนนที่ลาดอย่างดีกลายเป็นถนนชนบทที่ไม่ได้รับการดูแล แคบลง ขรุขระมากขึ้น จนในที่สุดเส้นทางก็แทบจะไม่ดีไปกว่าทางเดินที่ถูกย่ำมานานตัดผ่านเขตชนบท ธอร์รู้ว่ามันอันตรายที่ชาวบ้านธรรมดาจะขี่ม้าผ่านเส้นทางนี้เพียงลำพัง โดยเฉพาะในยามกลางคืน เพราะมีโจรขโมยคอยดักปล้น แต่ธอร์ไม่กังวลมากนัก โดยเฉพาะเมื่อมีอีเร็คมาด้วย ที่จริงหากโจรคิดจะปล้นพวกเขา ธอร์เป็นห่วงชีวิตของพวกมันมากกว่า แน่นอนว่ามันคงบ้ามากที่โจรคนไหนคิดจะปล้นอัศวินกองรบเงิน

พวกเขาขี่ม้าไปตลอดวัน แทบจะไมได้หยุดพักจนธอร์รู้สึกเหนื่อยอ่อน หายใจไม่ทัน เขาแทบไม่เชื่อในความแข็งแรงของอีเร็ค ธอร์ไม่กล้าบอกอีเร็คว่าเขาเหนื่อย กลัวว่าจะแสดงความอ่อนแอออกไป

ทั้งสองผ่านทางแยกหลัก ซึ่งธอร์จำได้ เขารู้ว่าหากเลี้ยวไปทางขวา มันจะนำไปสู่หมู่บ้านของเขา

ชั่วขณะนั้นธอร์รู้สึกเต็มตื้นกับความคิดถึงบ้าน ส่วนหนึ่งของเขาอยากจะเลี้ยวไปตามทางนั้น ไปหาบิดา และหมู่บ้านของเขา ธอร์สงสัยว่าบิดาจะกำลังทำอะไรอยู่ ใครจะดูแลฝูงแกะให้ บิดาจะโกรธเพียงใดเมื่อธอร์ไม่ได้กลับไป ไม่ใช่ว่าเขาห่วงใยบิดามากมาย เขาเพียงแต่คิดถึงสิ่งที่คุ้นเคย ที่จริงแล้วเขาโล่งอกที่ได้ออกไปจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ และส่วนหนึ่งของเขาไม่อยากจะกลับไป

พวกเขาควบม้าต่อไป ลงใต้ไปเรื่อย ๆ ไปยังพื้นที่ที่ธอร์ไม่เคยมา เขาเคยได้ยินเรื่องทางข้ามด้านทิศใต้ แต่ไม่เคยมีความจำเป็นต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง มันเป็นหนึ่งในทางแยกสำคัญที่นำไปสู่ทิศใต้ของอาณาจักร

วงแหวน ตอนนี้พวกเขาขี่ม้ากันมาครึ่งวันแล้ว ดวงอาทิตย์อยู่สูงบนท้องฟ้า ธอร์เหงื่อออกชุ่ม หายใจไม่ทัน และเริ่มสงสัยด้วยความกังวลว่าเขาจะกลับไปทันงานเลี้ยงคืนนี้หรือไม่ เขาทำพลาดหรือเปล่าที่ออกมาเป็นเพื่อนอีเร็คไกลขนาดนี้?

ทั้งสองขี่อ้อมเนินเขาไป และในที่สุดธอร์ก็มองเห็นมันที่ตรงขอบฟ้า สัญลักษณ์ที่ชัดเจนของทางแยกแรก มีหอคอยผอม ๆ ขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์บอกตำแหน่ง มีธงของพระราชาห้อยอยู่ทั้งสี่ด้าน และมีอัศวินกองรบเงินยืนประจำยามอยู่บนกำแพง เมื่อเห็นอีเร็ค อัศวินบนกำแพงก็เป่าแตร แล้วป้อมประตูก็ค่อยเคลื่อนเปิดขึ้น

พวกเขาอยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งร้อยหลา อีเร็คชะลอม้าลงเป็นเดิน ธอร์รู้สึกท้องไส้บิดเขม็ง เมื่อรู้ว่านี่คือสองสามนาทีสุดท้ายที่จะได้อยู่กับอีเร็ค จนกว่าจะอีกนานเท่าไรไม่มีใครรู้ ใครจะรู้ว่าเขาจะกลับมาจริง ๆ หรือไม่ หนึ่งปีเป็นเวลาที่นาน และอะไรก็เกิดขึ้นได้ ธอร์ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสได้ขี่ม้ามาเป็นเพื่อนอีเร็ค เขารู้สึกเหมือนได้ทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว

ทั้งสองชักม้าเดินคู่กันไป ม้าของพวกเขาหายใจแรง คนเองก็หายใจแรงเหมือนกัน ขณะที่เข้าใกล้หอคอยมากขึ้น

“ข้าคงไม่ได้เจอเจ้าอีกหลายจันทรา” อีเร็คบอก “เมื่อข้ากลับมา ข้าจะพาเจ้าสาวมาด้วย หลายสิ่งอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงรู้ไว้ว่าเจ้าจะเป็นเด็กติดตามของข้าเสมอ”

อีเร็คสูดหายใจลึก

“เมื่อข้าจากไป มีบางอย่างที่ข้าอยากให้เจ้าจดจำไว้ อัศวินไม่ได้เป็นด้วยพละกำลัง แต่ด้วยสติปัญญา ความกล้าหาญเพียงอย่างเดียวไม่ได้สร้างอัศวิน แต่เป็นความกล้าหาญ เกียรติยศและสติปัญญารวมกัน

Купите 3 книги одновременно и выберите четвёртую в подарок!

Чтобы воспользоваться акцией, добавьте нужные книги в корзину. Сделать это можно на странице каждой книги, либо в общем списке:

  1. Нажмите на многоточие
    рядом с книгой
  2. Выберите пункт
    «Добавить в корзину»