Бесплатно

วั๊นซ์ กอน

Текст
iOSAndroidWindows Phone
Куда отправить ссылку на приложение?
Не закрывайте это окно, пока не введёте код в мобильном устройстве
ПовторитьСсылка отправлена
Отметить прочитанной
วั๊นซ์ กอน
Шрифт:Меньше АаБольше Аа

วั๊ น ซ์ ก อ น

(คดีลึกปริศนาลับของ ไรล์ลี่ เพจ—เล่มที่ 1)

เ บ ล ค เ พี ย ร์ ซ

เบลค เพียร์ซ

เบลค เพียร์ส เป็นนักประพันธ์นวนิยายขายดีอันดับหนึ่ง นวนิยายไตรภาคเรื่อง คดีลึกปริศนาลับของ ไรล์ลี่ เพจ

บทประพันธ์ไตรภาคนี้รวมความลึกลับระทึกขวัญของ วั๊นซ์ กอน (เล่ม #1), วั๊นซ์ เทเค็น (เล่ม #2) และ วั๊นซ์ เครฟด์ (เล่ม#3).

หากคุณเป็นนักอ่านตัวยงหรือเป็นแฟนนิยายลึกลึบระทึกขวัญแล้ว สามารถเสนอแนะนำข้อติชม และ คอมเม้นท์เกี่ยวกับหนังสือได้ที่ www.blakepierceauthor.com

สงวนลิขสิทธิ์ © 2015 โดย เบลค เพียร์ซ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข ก่อนได้รับอนุญาต ยกเว้นได้รับการอนุญาตภายใต้ the U.S. Copyright Act of 1976 ไม่อนุญาตให้มีการลอกเลียนแบบส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งการจัดพิมพ์ใหม่ จัดจำหน่าย จัดเก็บ ถ่ายทอด ไม่ว่ารูปแบบหรือวิธีการใดๆในกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ การถ่ายภาพ การบันทึกหรือวิธีการอื่นใด โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ นวนิยายอิเล็กทรอนิกส์นี้อนุญาตให้ใช้เพื่อความบันเทิงส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีการนำไปขายต่อหรือนำไปให้ผู้อื่นต่อ หากมีประสงค์ต้องการแบ่งปันนวนิยายอิเล็กทรอนิกส์นี้ให้แก่ผู้อื่น กรุณาซื้อสื่อนี้หนึ่งชุดต่อผู้รับหนึ่งคน หากท่านได้รับสื่อนี้มาโดยมิได้ซื้อมาอย่างถูกต้อง หรือสื่อนี้มิได้ซื้อไว้เพื่อการใช้งานของท่านแต่ผู้เดียว กรุณาส่งสื่อฉบับนี้คืนกลับไปและซื้อชุดของท่านเอง ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เคารพในความตั้งใจและทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประพันธ์ บทประพันธ์นี้เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้น ชื่อ ลักษณะตัวละคร ธุรกิจ หน่วยงาน องค์กร สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆเป็นเพียงจินตนาการของผู้ประพันธ์หรือถูกนำมาใช้ในการประพันธ์นวนิยายนี้เท่านั้น ความเหมือนของชื่อบุคคลไม่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้วเป็นความบังเอิญ มิได้เกิดจากความตั้งใจหรือเจตนาใดๆทั้งสิ้น สงวนลิขสิทธิ์ภาพปก GoingTo ภายใต้ลิขสิทธิ์ Shutterstock.com

บทประพันธ์โดย เบลค เพียร์ซ

คดีลึกปริศนาลับของ ไรล์ลี่ เพจ

วั๊นซ์ กอน (เล่ม #1)

วั๊นซ์ เทเค็น (เล่ม #2)

วั๊นซ์ เครฟด์ (เล่ม #3)

สารบัญ

อารัมภบท

บทที่ 1

บทที่ 2

บทที่ 3

บทที่ 4

บทที่ 5

บทที่ 6

บทที่ 7

บทที่ 8

บทที่ 9

บทที่ 10

บทที่ 11

บทที่ 12

บทที่ 13

บทที่ 14

บทที่ 15

บทที่ 16

บทที่ 17

บทที่ 18

บทที่ 19

บทที่ 20

บทที่ 21

บทที่ 22

บทที่ 23

บทที่ 24

บทที่ 25

บทที่ 26

บทที่ 27

บทที่ 28

บทที่ 29

บทที่ 30

บทที่ 31

บทที่ 32

บทที่ 33

บทที่ 34

บทที่ 35

บทที่ 36

อารัมภบท

ความเจ็บปวดระลอกใหม่กระตุกศีรษะของรีบ้าให้ผงาดขึ้นตั้งตรง เธอกระชากตัวต้านเชือกที่พันธนาการร่างกาย พันรอบหน้าท้องของเธอเอาไว้กับท่อน้ำแท่งยาวสูงที่ถูกยึดติดเอาไว้กับพื้นและเพดานตรงใจกลางห้องเล็กๆนี้ ข้อมือของเธอถูกมัดไว้ด้านหน้าและข้อเท้าก็ถูกพันธนาการไว้เช่นเดียวกัน

เธอระลึกได้ทันทีว่าเธอคงผลอยหลับไปแน่ๆและนั่นก็ทำให้ความกลัวถาโถมเข้าใส่เธอทันที ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าชายผู้นั้นพยายามจะเอาชีวิตเธอ ค่อยๆทีละน้อย ค่อยๆทีละแผล มันไม่ใช่ความตายของเธอหรอกที่ชายคนนั้นแสวงหา แล้วมันก็ไม่ใช่เซ็กซ์ด้วย เขาต้องการเพียงแค่เห็นความเจ็บปวดของเธอ

ฉันต้องไม่หลับ รีบ้าคิดในใจ ฉันต้องหนีไปจากที่นี่ ถ้าฉันเผลอหลับไปอีกครั้งล่ะก็ ชั้นต้องตายแน่

ถึงแม้จะมีความร้อนอยู่ภายในห้อง หากแต่ร่างกายอันเปลือยเปล่าของเธอกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมา เธอก้มมองลงพื้นบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดแล้วก็ได้เห็นว่าเท้าของเธอนั้นวางเปลือยอยู่บนพื้นไม้แข็ง พื้นรอบๆนั้นมีแต่รอยปื้นของเลือดแห้งเกรอะกรังเป็นหย่อม สัญญาณชั้นดีเลยหละว่าเธอคงไม่ใช่รายแรกที่โดนจับมัดเอาไว้ที่นี่ ความหวาดผวากลับดึงเธอดำดิ่งลงลึกไปยิ่งกว่าเดิม

ผู้ชายคนนั้นต้องออกไปที่ไหนซักแห่งแน่ๆ ประตูบานเดี่ยวถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา แต่เดี๋ยวเขาจะต้องกลับมาอยู่ดี เขากลับมาเสมอ แล้วเดี๋ยวเขาก็จะต้องหาทางทำให้เธอกรีดร้องด้วยทุกวิธีที่คิดได้ บานหน้าต่างถูกตีฝาปิดหมดและเธอก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้มันเป็นกลางวันหรือกลางคืน แสงเดียวที่มีอยู่คือแสงสว่างจากหลอดไฟเปลือยๆที่ห้อยลงมาจากเพดาน ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ไหน มันดูราวกับว่าคงไม่มีใครที่จะมาได้ยินเสียงร้องของเธอ

รีบ้าสงสัยว่าห้องนี้อาจจะเคยเป็นห้องนอนของเด็กหญิงตัวน้อยมาก่อน มันดู..เต็มไปด้วยสีชมพูแบบแปลกๆพึลึก มีทั้งโมบายที่เป็นคลื่นและลักษณะอะไรต่างๆของพวกเทพนิยายเจ้าชายเจ้าหญิงเต็มไปหมด คงต้องมีใครซักคน—เธอเดาว่าคงจะเป็นคนที่จับเธอมา—ที่เคยเข้ามาพังสถานที่จนพินาศอย่างนี้ ทั้งล้มเก้าอี้ทั้งพังโต๊ะ บนพื้นก็กระจัดกระจายไปด้วยชิ้นส่วนร่างกายและลำตัวของตุ๊กตาของเล่นเด็ก พวกวิกผมอันเล็กๆ—รีบ้าเดาเอาว่าคงเป็นพวกวิกของตุ๊กตา โดนตอกไว้บนกำแพงราวกับเป็นหนังศีรษะ ส่วนมากเห็นชัดเจนว่าถักเปีย ทั้งหมดนั้นดูสีกลับไม่เป็นธรรมชาติเลย สีเหมือนของเล่น โต๊ะเครื่องแป้งสีชมพูสภาพยับเยินตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ติดผนัง กระจกรูปหัวใจนั้นแหลกเป็นเสี่ยงๆ เครื่องตกแต่งเดียวที่ยังคงอยู่ในสภาพใช้งานได้คือเตียงนอนเดี่ยวแคบๆ ที่มีม่านสีชมพูขาดวิ่นล้อมรอบ คนที่จับเธอมาก็นอนพักบนนั้นนั่นแหละในบางครั้ง

ชายผู้หนึ่งมองเธอด้วยดวงตากลมเข้ม ผ่านหน้ากากสกีสีดำของเขา ตอนแรกเธอก็วางใจที่เห็นว่าเขาใส่หน้ากากนั่นตลอด ถ้าเขาไม่อยากให้เธอเห็นโฉมหน้าของเขา นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้มีแผนจะฆ่าเธอและอาจจะปล่อยเธอไปหรอกหรือ

แต่เธอก็จับสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าหน้ากากนั้นมันมีไว้เพื่อจุดประสงค์อื่น เธอดูออกว่าโฉมหน้าหลังหน้ากากนั่นมีคางที่ร่นและหน้าผากก็เถิก และเธอเองก็มั่นใจว่าองค์ประกอบบนใบหน้าชายคนนี้คงธรรมดาบ้านๆ ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแรงเขาก็เตี้ยกว่าเธออยู่ดี แล้วนั่นคงเป็นปมด้อยของเขา เธอเดาว่าที่เขาใส่หน้ากากก็คงเพื่อให้ดูน่าเกรงกลัวมากยิ่งขึ้น

รีบ้าล้มเลิกความพยายามที่จะพูดให้เขาเลิกทรมานเธอแล้ว เธอคิดว่าเธอจะทำสำเร็จในตอนแรกนะ ก็เธอรู้มาตลอดนี่ว่าเธอเป็นคนสวย หรืออย่างน้อยฉันก็เคยสวย เธอคิดในใจเศร้าๆ

ทั้งเหงื่อทั้งน้ำตาไหลมาผสมกันอยู่บนหน้าอันบอบช้ำของเธอ แถมเธอยังรู้สึกได้อีกด้วยว่าเลือดมันแห้งเกรอะอยู่บนผมยาวสีบลอนด์ ดวงตาของเธอก็แสบมาก เขาบังคับให้เธอใส่คอนแทคเลนส์แล้วมันก็ทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดขึ้นไปอีก

ไม่รู้ว่าสภาพฉันเป็นยังไงนะตอนนี้

เธอปล่อยคอตกอย่างหมดแรง

ตายๆไปซะเดี๋ยวนี้เลยเถอะ เธออ้อนวอนกับตัวเอง

มันควรจะต้องเป็นเรื่องง่ายพอที่ฉันจะทำได้สิ เธอแน่ใจมากว่าต้องมีคนอื่นเคยตายที่นี่มาก่อน

แต่แล้วเธอก็ทำไม่ได้ เพียงแค่คิดว่าจะทำ หัวใจของเธอก็เต้นระรัวลมหายใจติดๆขัดๆแล้ว และนั่นยิ่งทำให้เชือกรอบๆหน้าท้องเธอมันเสียดไปอีก และแล้วความรู้สึกใหม่ก็เริ่มคืบคลานเข้ามาภายในตัวเธออย่างช้าๆเมื่อเธอรู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับความตายที่กำลังรออยู่ ครั้งนี้มันไม่ใช่ความหวาดผวาหรือความกลัว แล้วมันก็ไม่ใช่ความจนตรอกหรอกนะ มันเป็นความรู้สึกอย่างอื่น

ชั้นรู้สึกอะไรเนี่ย

เธอได้พบกับคำตอบ มันคือความโกรธแค้น ไม่ใช่สำหรับคนที่จับเธอมาเพราะเธอแค้นเขามานานจนล้าไปแล้ว

มันคือตัวของฉันเอง เธอนึกในใจ ฉันเป็นคนทำสิ่งที่เขาต้องการ เวลาที่ฉันแหกปากกรีดร้อง ร้องไห้ และอ้อนวอน ทั้งหมดนั่นฉันได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการอยากจะเห็น

เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอจิบไอ้น้ำซุปเย็นชืดไร้รสชาติที่เขาออกมาป้อนใส่หลอดให้นั่นก็ดี เธอก็กำลังทำในสิ่งที่เขาต้องการอยู่ หรือเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เธอพล่ามอย่างน่าสมเพชว่าเธอเป็นแม่ที่ยังมีลูกอีกสองคนที่ต้องการเธอ นั่นเธอก็กำลังให้ความบันเทิงไม่มีที่สิ้นสุดแก่เขา

รีบ้าตัดสินใจได้ในทันทีและหยุดขยับร่างกายในที่สุด บางทีเธออาจจะต้องลองดูอะไรใหม่ๆ เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกพันธนาการนี้มาตั้งหลายวันแล้วและบางทีมันอาจเป็นวิธีที่ผิด เหมือนกับไอ้เจ้าของเล่นรูไม้ไผ่นั่นไง-เกมส์ไชนีสฟิงเกอร์แทรปส์ ที่คนเล่นจะต้องสอดนิ้วเข้าไปในรูปลอกไม้ไผ่ด้านละนิ้วแล้วดึงออกพร้อมกัน ยิ่งพยายามดึงนิ้วทั้งสองให้ออกจากรูมากเท่าไหร่ นิ้วก็จะยิ่งถูกบีบรัดมากขึ้นเท่านั้น บางทีเทคนิคจริงๆของมันอาจจะเป็นการทำตัวให้ผ่อนคลาย ปล่อยวางทุกอย่างทั้งหมด ไม่แน่นะนั่นอาจจะเป็นทางออกก็ได้

 

กล้ามเนื้อทีละมัด ทีละมัด ค่อยๆถูกผ่อนคลายลง รีบ้าปล่อยวางร่างกายของเธอและในขณะที่ผ่อนร่างนั้นก็รับรู้ได้ถึงทุกรอยแผล ทุกรอยฟกช้ำ เวลาที่เนื้อของเธอนั้นไปโดนเชือก เธอค่อยๆรู้สึกได้อย่างช้าๆถึงตำแหน่งที่เชือกบีบรัดมาก

แล้วในที่สุด เธอก็ค้นพบสิ่งที่ต้องการ มันมีจุดที่เชือกหลวมอยู่นิดๆตรงรอบข้อเท้าด้านขวา แต่หากจะดึงขาออกยังไงซะก็คงไม่ได้ผล อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในเวลานี้ ตอนนี้ยังไงก็ต้องคลายกล้ามเนื้อออกให้ได้มากกว่านี้ รีบ้ากระดิกข้อเท้าเบาๆ กระดิกเบาๆ แล้วเพิ่มดีกรีความแรงเข้าไปเมื่อเชือกเริ่มจะคลายตัว

และแล้ว เธอทั้งดีใจระคนประหลาดใจ ข้อเท้าของเธอเริ่มรู้สึกหลวมขึ้น และทันใดนั้นเองรีบ้าก็ดึงขาขวาให้หลุดออกมาจากการพันธนาการทั้งหมด เธอเริ่มกวาดตามองไปบนพื้นรอบๆในทันที ห่างออกไปประมาณฟุตหนึ่ง ท่ามกลางฝูงอวัยวะของตุ๊กตาที่วางระเกะระกะอยู่นั้นมีมีดล่าสัตว์ของชายผู้นั้นวางปนอยู่ด้วย เขาชอบทิ้งมันไว้ยั่วน้ำลายใกล้ๆแถวนั้นและหัวเราะเสมอๆ คมมีดที่มีคราบเลือดเกาะเป็นสะเก็ดส่องแสงระยิบระยับราวกับกำลังยั่วเย้าท่ามกลางแสงสว่าง

รีบ้าตวัดขาที่เป็นอิสระแล้วไปที่มีดทันที ตวัดสูงแต่ก็ยังพลาด

เธอผ่อนร่างกายลงอีกครั้ง ไถลตัวลู่ลงต่ำประมาณไม่กี่นิ้วไปกับแท่งท่อและพยายามเขยิบเท้าเข้าไปจนกระทั่งมีดนั้นเข้ามาอยู่ในระยะเอื้อมถึง เธอเอานิ้วเท้าหนีบคมมีดอันสุดแสนจะสกปรก ไถไปมาบนพื้นเพื่อทำความสะอาด และใช้เท้าข้างนั้นยกขึ้นมาจากพื้นอย่างระมัดระวังจนกระทั่งด้ามมีดถูกวางบนฝ่ามือของเธอ เธอกำด้ามมีดไว้แน่นด้วยนิ้วที่ชาจนไร้ความรู้สึกและเริ่มหมุนมีดไปมาเพื่อเลื่อยเชือกที่มัดข้อมือสองข้างของเธอไว้อย่างช้าๆ ราวกับเวลาหยุดเดิน เมื่อเธอกลั้นหายใจและภาวนาขออย่าให้ทำมีดหล่นและขอให้เขาอย่าเพิ่งกลับมา

ในที่สุดรีบ้าก็ได้ยินเสียงเชือกกระตุกขาด แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น มือทั้งสองข้างของเธอเป็นอิสระแล้ว และทันใดนั้นขณะที่หัวใจยังเต้นโครมคราม เธอก็ตัดเชือกรอบเอวหลุด

ชั้นเป็นอิสระแล้ว ตัวเธอเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อ

เป็นเวลาพักนึงเลยที่เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งยองๆกอดเข่าอยู่อย่างนั้น ทั้งมือและเท้ามันรู้สึกยุบยิบไปด้วยการสูบฉีดของเลือดที่คืนกลับมาไหลเวียนแบบเต็มสตรีมอีกครั้ง เธอเอานิ้วจิ้มๆไปที่คอนแทคเลนส์บนดวงตา พยายามหักห้ามใจตัวเองอย่างมากที่จะไม่ควักมันออก แล้วก็เขี่ยอย่างระมัดระวังไปไว้ด้านหนึ่ง ใช้นิ้วจิกและดึงมันออกมา ดวงตาของเธอนั้นปวดเอามากๆและตอนนี้มันก็โล่งมากที่กำจัดเจ้าคอนแทคเลนส์พวกนั้นออกไปได้ ขณะที่เธอจ้องดูแผ่นพลาสติกที่โค้งเหมือนแอ่งเล็กๆสองอันบนฝ่ามือนั้นเอง สีของมันก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ เลนส์มันออกเป็นสีฟ้าสว่างจ้า ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย ว่าแล้วเธอก็ปามันทิ้ง

หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากหน้าอก รีบ้าพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นและรีบกะเผลกไปที่ประตู คว้าลูกบิดประตูไว้แต่ยังไม่ยอมเปิด

แล้วถ้าเขาอยู่ข้างนอกล่ะ

เธอไม่มีทางเลือกเลย

รีบ้าหมุนลูกบิดและชักประตูเปิดออกอย่างไร้เสียง เธอมองทอดลงบนทางเดินยาวที่ว่างเปล่าสู่ห้องโถง มีเพียงแสงไฟที่ลอดผ่านช่องแง้มด้านขวาของประตู เธอค่อยๆย่องออกไปทั้งร่างกายอันล่อนจ้อนและเท้าที่เปลือยเปล่าอย่างเงียบเชียบ รอยแง้มของประตูบานนั้นเปิดออกไปสู่ห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัว เธอหยุดยืนและจ้องมองเข้าไปภายใน มันเป็นแค่เพียงห้องรับประทานอาหารธรรมดาที่มีโต๊ะและเก้าอี้ ดูเหมือนปกติทั่วไป ราวกับว่ามีครอบครัวที่กำลังจะกลับมาทานข้าวเย็นพร้อมหน้ากันที่นี่ ผ้าม่านลูกไม้เก่าๆถูกแขวนลงมาปกคลุมหน้าต่างเอาไว้

ความสยองระลอกใหม่พุ่งขึ้นมาจ่อคอหอยเธอเลยทีเดียว ความธรรมดาของสถานที่แห่งนี้มันดูหลอนในแบบที่แม้แต่คุกใต้ดินก็ยังไม่รู้สึกวังเวงเท่า เธอมองลอดผ้าม่านออกไปและเห็นว่าข้างนอกมีแต่ความมืดมิด เธอดีใจขึ้นมาทันทีที่คิดได้ว่าความมืดจะทำให้เธอแอบหนีออกไปได้ง่ายขึ้น

รีบ้าหันกลับไปที่ทางเดินห้องโถง สุดทางเดินคือประตูอีกหนึ่งบาน-ประตูที่ยังไงก็ต้องนำออกไปสู่โลกภายนอก เธอกะเผลกไปและบีบกลอนประตูทองเหลืองไว้แน่น ประตูถูกดึงเปิดเข้าหาตัวเธออย่างแรงเผยให้เห็นความมืดด้านนอก

เธอมองเห็นชานระเบียงเล็กๆและสนามหญ้าถัดออกไป ท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ปราศจากแสงจากดวงจันทร์หากจะมีก็เพียงแต่แสงสว่างจากดวงดาวเท่านั้น ไม่มีแสงสว่างอื่นใดเลยในบริเวณแถบนี้-ไม่มีร่องรอยของบ้านเรือนข้างเคียง รีบ้าค่อยๆก้าวเท้าออกไปบนชานระเบียงและเดินลงไปในบริเวณสนามหญ้าที่แห้งแล้งและแทบจะไม่มีหญ้า ลมเย็นสดชื่นพัดเข้ามาเติมเต็มปอดที่ยังปวดหนึบอยู่

ในความหวาดผวาเธอยังรู้สึกตื่นเต้นดีใจระคนกันไปด้วย นี่แหละคือความปิติของการได้รับอิสรภาพ

รีบ้าสาวเท้าก้าวแรกเตรียมจะออกวิ่ง-แต่แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมือใครคว้าหมับอย่างจังเข้าที่ข้อมือของเธอ

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะน่ารังเกียจที่คุ้นหู

สิ่งสุดท้ายที่เธอรู้สึกคือของแข็ง-อาจเป็นท่อนเหล็ก กระแทกลงบนศีรษะของเธอ แล้วสติสัมปชัญญะของเธอก็วนดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งความมืดมิด

บทที่ 1

อย่างน้อยกลิ่นก็ยังไม่โชย เจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษ บิล เจฟฟรี่ส์ คิดในใจ

ระหว่างพลิกดูศพอยู่นั้น เขาก็พบกับร่องรอยแรกอย่างช่วยไม่ได้ มันปะปนมากับกลิ่นอันสดชื่นของต้นสนและกลิ่นสะอาดๆของไอน้ำที่ลอยมาจากลำธาร – กลิ่นซากศพนั่นเอง กลิ่นที่เขาควรจะเคยชินกับมันตั้งนานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกชินกับมันอยู่ดี

ร่างล่อนจ้อนของหญิงสาวรายหนึ่งถูกจัดวางอย่างระมัดระวังบนหินขนาดใหญ่ริมลำธาร เธออยู่ในท่านั่ง สภาพร่างพิงอยู่กับหินใหญ่อีกก้อนหนึ่ง ขาเหยียดตรงและแบะออก แขนแนบอยู่ข้างลำตัว แขนขวานั้นบิดเบี้ยวเป็นทรงประหลาดซึ่งเขาเห็นและสันนิษฐานเลยว่าคงกระดูกหัก ผมหยักศกเป็นลอนนั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นวิกผมซึ่งดูสกปรกราวกับเป็นเรื้อนด้วยสีเข้มสีอ่อนของเลือดที่ปนกันอยู่บนนั้น รอยยิ้มสีชมพูของเธอนั้นคือรอยลิปสติกวาดทับลงบนปาก

อาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรมนั้นยังรัดแน่นอยู่รอบๆคอ สันนิษฐานว่าเธอถูกรัดคอตายด้วยริบบิ้นสีชมพู ดอกกุหลาบพลาสติกสีแดงถูกวางอยู่ตรงปลายเท้าของเธอบนหินที่อยู่ด้านหน้า

บิลพยายามยกมือซ้ายของเธอขึ้นอย่างเบามือ แต่มันไม่ขยับเลย

“ร่างเธอยังอยู่ในภาวะแข็งตัวหลังเสียชีวิต” บิลบอกกับเจ้าหน้าที่สเปลเบร็น พร้อมกับย้ายไปนั่งยองๆลงที่อีกฟากหนึ่งของศพ “เสียชีวิตมาไม่เกิน 24 ชั่วโมง”

“ตาของเธอเป็นอะไรน่ะ” เจ้าหน้าที่สเปลเบร็นถามขึ้นมา

“โดนเย็บเปิดไว้ด้วยด้ายดำ” เขาตอบโดยไม่แม้แต่จะหันไปดูให้ชัดๆ

สเปลเบร็นจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่เชื่อก็ลองดูเองสิ” บิลกล่าว

สเปลเบร็นส่องลงไปที่ดวงตาทั้งสองข้าง

“พระเจ้า” เขาพึมพำเบาๆ บิลสังเกตว่าเขาไม่ได้หัวหดด้วยความขยะแขยงจึงรู้สึกพอใจอยู่ เขาเคยทำงานกับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติงานมาหลายคน – บางคนก็ช่ำชองมานานเหมือนสเปลเบร็นนี่แหละ – แต่หากมาเจอสภาพแบบนี้ก็คงยังจะอ้วกแตกอ้วกแตนอย่างแน่นอน

ตัวบิลนั้นยังไม่เคยได้ร่วมงานกับเขามาก่อน สเปลเบร็นถูกเรียกตัวให้มารับเคสนี้จากศูนย์ปฏิบัติการเวอร์จิเนีย และ

เขาก็คือคนต้นคิดไอเดียที่จะเอาเจ้าหน้าที่จากหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรในควอนติโก้มาช่วยคดีนี้ และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมบิลถึงมาลงเอยอยู่ที่นี่

ฉลาดไม่เบา, บิลคิดในใจ

ดูๆแล้วสเปลเบร็นน่าจะอายุอ่อนกว่าเขาแค่ไม่กี่ปี แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สเปลเบร็นดูมีความโชกโชนดูมีความเก๋าอยู่ในตัว เป็นลักษณะคนในแบบที่เขาชอบซะด้วยสิ

“เธอสวมคอนแท็คเลนส์นะ,” สเปลเบร็นสังเกต

บิลก้มลงไปดูเพื่อความแน่ใจ เขาพูดถูก คอนแท็คเลนส์สีฟ้าแข็งๆหลอนๆทำให้เขาต้องมองไปทางอื่น อากาศด้านล่างที่

ลำธารช่วงสายนี่ยังคงเย็นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ดวงตาทั้งสองนั้นแบนติดอยู่ในเบ้าตา มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระบุเวลาเสียชีวิตที่ชัดเจนได้ สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจก็คือศพถูกนำมาไว้ที่นี่ช่วงเวลาไหนซักช่วงเมื่อคืนและถูกจัดแจงการวางท่า

เขาได้ยินเสียงจากใกล้ๆ

“ห่าองค์กรเอ๊ย”

บิลเหลือบตามองไปที่นายตำรวจพื้นที่สามนายที่ยืนห่างออกไปซักสามหลา พวกเขาเปลี่ยนเป็นซุบซิบอะไรกันฟังไม่รู้เรื่องแล้วตอนนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าพวกนั้นตั้งใจให้เขาได้ยินไอ้สามคำเมื่อกี๊นี้แน่ๆ พวกนั้นมาจากยาร์เนลใกล้ๆนี้แหละ และพวกเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบใจที่มีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอโผล่มาอยู่ในที่เกิดเหตุนี้ด้วย พวกนั้นเขาคิดว่าสามารถจัดการคดีนี้กันเองได้

หัวหน้ากองกำลังพิเศษของพื้นที่รัฐโมวส์บี้มีความเห็นต่างในเรื่องนี้ เขาไม่เคยเจอเคสไหนที่ร้ายแรงไปกว่าการทำลายทรัพย์สิน การทิ้งขยะไม่เป็นที่ และการล่าสัตว์หรือตกปลาในเขตหวงห้าม และเขาก็รู้ด้วยว่าพวกตำรวจพื้นที่จากยาร์เนลนี่ไม่มีความสามารถพอจะจัดการกับเรื่องนี้ได้

บิลใช้เวลาเดินทางร้อยกว่าไมล์มาที่นี่โดยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเขาจะได้มาถึงจุดเกิดเหตุก่อนที่ศพจะถูกเคลื่อนย้าย นักบินคนขับพาบินตามพิกัดมาจนถึงทุ่งหญ้าบนเนินเขาใกล้ๆนี้ ที่ๆหัวหน้ากองกำลังพิเศษและเจ้าหน้าที่สเปลเบร็นได้เจอกับเขาและหัวหน้ากองก็เป็นคนขับรถผ่านถนนลูกรังพาพวกเขาทั้งหมดลงจากเขามา เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุบิลพอจะมองเห็นพื้นที่เกิดเหตุได้รางๆจากบนถนน มันแค่ต้องเดินลงเขาต่อไปอีกนิดหน่อยจากลำธาร

ตำรวจที่ยืนทำหน้าหมดความอดทนกันอยู่ใกล้ๆนี้ได้สำรวจพื้นที่เกิดเหตุกันเรียบร้อยแล้ว บิลรู้ทันทีว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่ พวกนั้นต้องการเคลียร์คดีกันเอง เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสองหน่อนี้คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากจะเห็น

โทษทีนะ ไอ้พวกใจแคบ บิลคิดในใจ แต่พวกแกฝีมือไม่ถึงจะทำคดีนี้หรอก

“นายอำเภอคิดว่านี่เป็นการค้ามนุษย์” สเปลเบร็นกล่าว “แต่เขาผิดแล้วหละ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?” บิลถามออกไป เขารู้คำตอบอยู่แล้ว แค่อยากจะลองดูว่ากระบวนความคิดของสเปลเบร็นทำงานยังไง

“เธออายุ 30 กว่าแล้ว ไม่ใช่ว่าจะยังเอ๊าะอะไร” สเปลเบร็นอธิบาย “ริ้วรอยแตกลายงานั่น เธอก็ต้องเคยผ่านการมีลูกมาแล้วอย่างต่ำ 1 คน ไม่ใช่ลักษณะเหยื่อปกติของพวกค้ามนุษย์”

“คุณพูดถูก” บิลตอบ

“แล้ววิกผมนี่ล่ะ?”

บิลส่ายหัว

“เธอโดนโกนหัว” บิลตอบ “เพราะฉะนั้นไม่ว่าไอ้เจ้าวิกนั่นจะใส่มาไว้เพื่ออะไร มันไม่ได้เอาไว้อำพรางสีผมของเธอแน่”

“แล้วกุหลาบล่ะ” สเปลเบร็นถามต่อ “ความนัยงั้นเหรอ?”

บิลตรวจดูอีกครั้ง

“ดอกไม้ปลอม ถูกๆ” เขาตอบ “แบบที่หาได้ทั่วไปในร้านขายของราคาถูก เราตรวจสอบได้แต่คงไม่เจอคำตอบอะไร”

สเปลเบร็นมองมาทางเขา ออกอาการทึ่งอย่างเห็นได้ชัด

บิลไม่คิดว่าจะมีหลักฐานที่ตรวจพบแล้วชิ้นไหนที่จะช่วยแก้ปมให้พวกเขาได้ อาชญากรรายนี้มันดูจงใจเกินไป ดูมีระเบียบแบบแผนมากไป ซีนเกิดเหตุมันดูเหมือนถูกจัดฉากไว้แล้วแบบจิตๆ ที่ทำให้ตัวเขาเองนึกหวาดอยู่เหมือนกัน

เขาเห็นว่าตำรวจท้องที่นั้นออกอาการกระสันต์อยากจะเดินเข้ามาเพื่อปิดคดีนี้ รูปถ่ายสถานที่เกิดเหตุก็ถ่ายไว้แล้ว และตอนนี้ศพก็อาจถูกเคลื่อนย้ายได้ทุกเมื่อ

เขายืนถอนหายใจ รู้สึกขาแข้งมันแข็งไปหมด อายุเลข 4 ของเขามันกำลังเริ่มทำให้เขาทำอะไรได้ช้าลง อย่างน้อยก็ช้าลงนิดหน่อย

“เธอถูกทรมาน” เขาสังเกตและถอนหายใจออกมาอย่างสลด “ดูรอยบาดพวกนี้สิ บางรอยปากแผลเริ่มจะปิดแล้ว” เขาส่ายหัวขึงขัง “ไอ้คนๆนั้นมันทรมานเธอมาหลายวันก่อนกำจัดเธอทิ้งด้วยริบบิ้นนั่น”

สเปลเบร็นถอนหายใจ

“ผู้ต้องหามันต้องฉุนเฉียวอะไรซักอย่าง” สเปลเบร็นออกความเห็น

“เฮ้ เราจะปิดจ็อบกลับกันเมื่อไหร่เนี่ย?” ตำรวจนายหนึ่งตะโกนถาม

บิลมองไปทางด้านที่พวกเขายืนอยู่และเห็นว่ากำลังย่ำเท้าอย่างไม่เป็นสุขกันแล้ว สองคนในนั้นก็บ่นฮึ่มฮั่มกันเงียบๆ

เขารู้ว่าพวกนั้นปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้กันเสร็จแล้ว แต่เขาก็ไม่เอ่ยอะไร เขาอยากจะให้เจ้าพวกโง่นั่นรออย่างสงสัยต่อไปมากกว่า

เขามองไปรอบๆอย่างช้าๆและเก็บรายละเอียดที่เกิดเหตุ มันเป็นพื้นที่ปกคลุมด้วยป่าทึบที่เป็นต้นสนกับต้นซีดาร์ทั้งหมดและส่วนมากก็เป็นพงไม้เตี้ยๆที่มีลำธารไหลเป็นฟองอย่างสงบพาดผ่านไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ ถึงตอนนี้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน แต่วันนี้มันคงไม่ร้อนมากไปกว่านี้แล้ว ศพคงยังไม่น่าจะเน่าเร็วในทันที ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันคงจะเป็นการดีที่สุดหากจะเคลื่อนย้ายศพออกจากที่นี่และส่งไปที่ควอนติโก้ เจ้าหน้าที่นิติเวชที่นั่นคงอยากจะตรวจดูตอนที่ศพมันยังร้อนๆอยู่ รถบรรทุกเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตรเข้ามาจอดบนถนนลูกรังด้านหลังรถตำรวจ เพื่อจะรอรับกลับแล้ว

ถนนไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าทางลาดยางคู่ขนานไปจนสุดป่า เจ้าฆาตกรต้องใช้เส้นทางนี้ขับรถไปมาเกือบจะแน่นอน มันต้องขนศพระยะทางสั้นๆผ่านทางแคบๆมาจนถึงจุดนี้ จัดการจัดวางท่าและก็หนีไป มันคงไม่ได้อยู่นาน ถึงแม้ว่าที่แถวนี้จะดูเหมือนไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย แต่หน่วยลาดตระเวนตรวจพื้นที่แถวนี้เป็นประจำ แถมรถภายนอกก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใช้ถนนนี้ด้วย มันตั้งใจให้คนมาเจอศพและดูจะภูมิใจกับผลงานของตัวเองมาก

แล้วศพก็ ถูกพบ โดยกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาในตอนเช้าตรู่ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เช่าม้าขี่ หัวหน้ากองกำลังพิเศษได้บอกบิลไว้แบบนั้น พวกเขาเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอาร์ลิงตั้นอาศัยอยู่ที่คอกม้าแบบตะวันตกถูกๆนอกเมืองยาร์เนล หัวหน้ากองบอกว่าพวกเขากำลังหัวเสียกันนิดหน่อยเลยตอนนี้ เพราะโดนบอกห้ามออกนอกเมือง และบิลก็วางแผนไว้ว่าจะไปสอบถามพวกเขาหลังจากนี้

มันดูแทบไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรแวดล้อมศพในบริเวณพื้นที่แถวนี้เลย เจ้าหมอนั่นมันจัดการอย่างระมัดระวังมาก มันต้องลากอะไรบางอย่างไว้ด้านหลังตัวเองตอนขากลับจากลำธาร – ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นพลั่วนะ – เพื่อจะลบร่องรอยของรอยเท้า ไม่มีเศษซากของอะไรเหลือทิ้งไว้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รอยล้อยางบนพื้นถนนน่าจะโดนทำลายจนสิ้นซากหมดแล้วโดยรถขนส่งตำรวจและเจ้าหน้าที่นิติเวชชันสูตร

บิลถอนหายใจกับตัวเอง

บ้าเอ้ย เขานึกด่าในใจ ไรล์ลี่หายตัวไปอยู่ไหนนะเวลาที่ฉันต้องการเธอ

คู่หูและเพื่อนสนิทอันยาวนานของเขาโดนสั่งพักงานโดยไม่สมัครใจ เพื่อให้ไปรักษาตัวจากบาดแผลที่ได้มาจากการทำคดีล่าสุดของทั้งคู่ ถูกแล้ว คดีนั้นมันโหดสุดๆไปเลย เธอต้องการเวลานอก และอาจต้องยอมรับความจริงว่าเธออาจไม่ได้กลับมาอีก

แต่บิลก็ต้องการเธอจริงๆในเวลานี้ ไรล์ลี่นั้นฉลาดกว่าเขามากและตัวเขาเองก็ไม่มายด์ที่จะยอมรับในเรื่องนี้ เขาชอบดูวิธีการคิดเวลาทำคดีของเธอ เขาลองนึกภาพเธอเก็บข้อมูลซีนที่เกิดเหตุนี้ ในทุกรายละเอียดทุกเม็ด ถึงตอนนี้เธอคงต้องล้อเขาแล้วที่มองไม่เห็นร่องรอยที่แสนจะชัดเจนราวกับประเคนอยู่ตรงหน้าแบบนี้

อะไรที่คิดว่าไรล์ลี่จะค้นพบในขณะที่เขามองข้าม?

เขารู้สึกไปไม่เป็น และเขาก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วตอนนี้

 

“เอาหละ พวกคุณ” บิลตะโกนออกไปบอกตำรวจคนอื่นๆ “เคลื่อนย้ายศพได้”

ตำรวจพวกนั้นหัวเราะและแปะมือกันรัวๆ

“คุณว่ามันจะก่อเหตุอีกมั้ย?” สเปลเบร็นถามขึ้นมา

“แหงอยู่แล้ว” บิลตอบ

“คุณรู้ได้ยังไง?”

บิลหายใจเข้ายาวก่อนตอบ

“เพราะผมเคยเห็นผลงานมันมาก่อนน่ะสิ”

Купите 3 книги одновременно и выберите четвёртую в подарок!

Чтобы воспользоваться акцией, добавьте нужные книги в корзину. Сделать это можно на странице каждой книги, либо в общем списке:

  1. Нажмите на многоточие
    рядом с книгой
  2. Выберите пункт
    «Добавить в корзину»